ทุกๆ ครั้งที่นึกถึงชื่อเมือง “Kobe (โกเบ)” ผมเชื่อว่าในเสี้ยวใจคนส่วนใหญ่มักจดจำโกเบในฐานะเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่อง “เนื้อวัวอร่อย” เพราะผมเองก็ได้ยินคำว่า “เนื้อโกเบๆๆๆๆๆๆๆ” มาตั้งแต่เด็ก จนเผลอคิดไปว่ามันคงจะมีวัวพันธุ์โกเบอยู่เป็นแน่ 55555
แต่ด้วยความโชคดี เพราะขณะผมกับแฟนกำลังทำข้อมูลไปเที่ยวแถบคันไซนั้น ช่วงนั้นมีหนัง Animation เรื่อง Big Hero 6 เข้าฉายพอดี เพื่อนๆ คงจำเจ้า เบย์แม็กซ์ (Baymax) เจ้าหุ่นยนต์อ้วนกลมสีขาวๆ ที่แอบมาขโมยใจเราไปเมื่อปลายปีที่แล้วได้ใช่ไหมครับ
ถ้าใครได้ดูหนังเรื่องนี้ จะเห็นว่าหนังได้รับอิทธิพลความเป็นญี่ปุ่นมามากมายเลยครับ แถมยังมีมีหุ่นตัวนึงปรากฏตัวขึ้นอย่างลับๆ ในหนังเรื่องนี้ ซึ่งหุ่นตัวนั้นก็คือ Tetsujin 28 หรือหุ่นเหล็กหมายเลข 28 นั่นเอง ซึ่งหุ่นตัวนี้เชื่อว่าถ้าใครอายุเกิน 30 แล้วละก็… น่าจะเคยชื่นชอบกันมาบ้าง และด้วยเหตุผลนี้แหล่ะ มันเลยทำให้เพิ่มโปรแกรม เพราะอยากจะไปถ่ายรูปคู่กับรูปปั้นยักษ์ของหุ่นเหล็กหมายเลข 28 ขึ้นมาทันที!!!!!
ซึ่งแฟนผมก็น่าร๊าก ตามใจผมซะด้วย 555555 ถ้างั้นเราตามมาพบกับ “เนื้ออร่อย ขนมเลิศรส วัฒนธรรมผสมผสาน และหุ่นยักษ์หมายเลข 28” ที่ Kobe เมืองท่าแห่งคันไซนี้กันครับ
เช้าวันที่ 4 พวกเราตื่นกันแต่เช้า (เช่นเคย) เพื่อเดินทางด้วยรถไฟ JR จากเมือง Himeji ไปลงที่สถานี Sanomiya ที่ Kobe ครับ การเดินทางจากสถานี JR Himeji ไปยัง JR Sanomiya นั้นใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ ครับ ซึ่งตั๋วที่เราจองนั้นเค้าจะระบุโบกี้ และระบุรอบเอาไว้ครับ
หมายเหตุ : กรณีที่เราซื้อ JR Pass ล่วงหน้าไปจากเมืองไทย เราสามารถ activate บัตร JR Pass ของเราได้ทันทีเมื่อมาถึงสนามบินครับ แต่เนื่องจากผมกับแฟนบินมาไฟลท์ดึก (เคาน์เตอร์ปิดแล้ว) จึงต้องไป activate บัตรกันที่สถานี JR ใหญ่ๆ แทนครับ อย่างที่สถานี JR Sanomiya นี้เป็นต้น (ที่สถานี JR Himeji ไม่สามารถ activate ตั๋วได้ครับ เพราะไม่มีเคาน์เตอร์)
หลังจากใช้เวลางีบไปชั่วอึดใจ เราก็มาถึงสถานี JR Sanomiya กันแล้ว!!!
พอ activate JR Pass กันแล้ว เราก็นั่งรถไฟต่อไปสถานี Shinagata เพื่อตะลุย Mission แรกของวันนี้คือไปดูรูปปั้นหุ่นเหล็กหมายเลข 28 ด้วยตาตัวเองสักครั้ง ซึ่งการเดินทางไปยังรูปปั้นนั้นแสนง่ายครับ เมื่อขึ้นจากชานชาลา ให้เราเดินไปออกทางด้านที่เขียนว่า Subway Kaigan Line (ตามภาพครับ) เมื่อออกไปแล้วก็เลี้ยวขวาแล้วเดินตรงไปสัก 800 เมตรก็ถึงแล้วครับ
แล้วในที่สุด… พวกเราก็ได้เจอกับเจ้า Tetsujin 28 แล้ววววว !!!! ดีใจมากๆ เลยยยยย ^_^
หุ่นจำลองของ Tetsujin 28 หรือหุ่นเหล็กหมายเลข 28 นั้น ถูกสร้างขึ้นภายใต้โครงการ Kobe Tetsujin Project เพื่อสร้างสัญลักษณ์ประจำเมือง Kobe หุ่นจำลองมีความสูง 18 เมตร ทำจากเหล็กหนักถึง 50 ตัน และใช้งบประมาณสูงถึง 135 ล้านเยน โดยหุ่นจำลองนี้ตั้งอยู่ในสวน Wakamatsu โดยมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปในวันที่ 4 ตุลาคม 2009 ครับ
เหตุที่มีการสร้างหุ่นตัวนี้ไว้ที่เมือง Kobe ก็เพราะเป็นบ้านเกิดของ Mitsuteru Yokoyama นักเขียนการ์ตูนผู้ให้กำเนิดหุ่นเหล็กตัวนี้นั่นเอง
ถ่ายรูปจนจุใจแล้ว ก็ถือโอกาสเดินเล่นย่านการค้าที่อยู่ใกล้ๆ กันครับ
เสร็จภารกิจแรกแล้ว ก็ได้เวลาอาหารครับ มาเมือง Kobe มันก็ต้องไปทานเนื้อโกเบครับ ซึ่งที่นี่จะมีร้านอาหารหลายร้านมากๆ ที่นำเนื้อชั้นดีของ Kobe มาปรุงอาหาร แต่เมนูที่นิยมสุดก็คงไม่พ้นสเต็กสไตล์ญี่ปุ่นนี่ล่ะ (ทริปนี้กินตลอดๆ)
หลังจากดูรีวิว (และดูราคา) ของแต่ละร้านแล้ว เราก็ได้คำตอบว่า… ด้วยงบจำกัด เราจะไปลิ้มชิมรสที่ร้าน Steak Land ครับ เพราะทั้งราคา รสชาติ และชื่อเสียง ลงตัวมากกกก 55555
สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใน Kobe นั้นจะอยู่ใกล้กับสถานี JR Sanomiya นะครับ รวมถึงร้าน Steak Land ด้วย ว่าแล้วก็เดินทางกลับไปยังสถานี JR Sanomiya กันครับ
เมื่อมาถึงสถานี JR Sanomiya แล้วให้เดินไปออกทาง West Exit นะครับ ในโซนนี้จะมีร้าน Steak Land อยู่ถึง 3 สาขาครับ ใครสะดวกบริเวณไหน ก็ตามอัธยาศัยเลยนะครับ ผมแป่ะแผนที่ไว้ให้แล้วครับ
เมื่อเข้ามาในร้านแล้วพนักงานจะพาเราไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ครับ ซึ่งตรงกลางบาร์จะมีกระทะเทปันฯ ขนาดใหญ่ เมื่อพนักงานรับออร์เดอร์แล้ว สักพักจะมีพ่อครัวนำเนื้อที่เราเลือก มาปรุงตามความต้องการของเราครับ (สำหรับใครที่ไม่ทานเนื้อ ก็จะมีเป็นเมนูอาหารทะเลให้นะครับ อร่อยมากเหมือนกัน)
ประสบการณ์หลังลิ้มรสเนื้อ Kobe จากร้าน Steak Land
เนื้อสดอร่อยครับ ผมสั่งเป็น Medium เนื้อจึงยังคงความหวานและนุ่มลิ้นอยู่ เมื่อทานกับกระเทียมทอดแล้วยิ่งฟินเลยล่ะ ส่วนเมนู Steak Seafood ก็อร่อยไม่แพ้กันครับ ผมเชิญชวนทุกคนมาลองกันได้เลย ณ จุดนี้ 55555
เมื่อเติมกระเพาะให้อิ่มกันจนพุงนำนมแล้ว ก็ได้เวลาย่อยอาหารครับ เราจะไปเดินเล่นถนน Kitano กันครับ ถนนนี้ได้ชื่อว่าเป็น Western Street แห่งภูมิภาคคันไซเลยล่ะครับ
Kitano (คิตาโนะ) เป็นย่านบ้านพักชาวต่างชาติที่มีอยู่ตั้งแต่ครึ่งหลังของช่วงศตวรรษที่ 19 เนื่องจาก Kobe เป็นเมืองท่าที่เปิดรับการค้าขายทางเรือกับต่างชาติ ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันบ้านสไตล์ตะวันตกในบริเวณย่าน Kitano ก็ถูกปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์ให้บุคคลทั่วไปได้เข้าชม
พื้นที่ย่าน Kitano กินบริเวณกว้างอยู่ตีนเขาของเทือกเขาร็อคโค มีบ้านสไตล์ตะวันตกจำนวนมากทั้ง England House, French House, American Teddy Bear Museum, Wein Austrain House และอื่นๆ อีกมากมาย
เมื่อขึ้นมาถึงบริเวณด้านบนสุดของถนน Kitano ซึ่งเป็นใจกลางของย่านนี้ จะมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และบ้านโบราณที่ถูกปรับให้เป็นพิพิธภัณฑ์อยู่ 2 หลัง ได้แก่ “Weathercock House” และบ้าน “Moegi House” ซึ่งเรื่องราวของบ้านทั้ง 2 หลังนี้เป็นดังนี้ครับ
Weather Clock House เป็นบ้านสไตล์ยุโรปสวยงาม ตัวอาคารเป็นอิฐสีแดงโดดเด่นสะดุดตา ด้านบนยอดหลังคาจะมีกังหันแสดงทิศทางลมเป็นรูปไก่ตัวผู้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่มาของชื่อบ้าน (Weather Clock) นั่นเอง บ้านนี้สร้างขึ้นในปี 1909 โดย Godfried Thomas พ่อค้าชาวเยอรมันที่ตั้งใจสร้างเป็นบ้านพักส่วนตัวของเขาและครอบครัว ภายในมีการตกแต่งอย่างสวยงามสไตล์เยอรมัน สะท้อนศิลปะในยุค Art Nouveau ได้เป็นอย่างดี
ต้นตำรับ Kobe Pudding และ Cheese Cake ของเมือง Kobe ก็เริ่มมาจากบ้านนี้แหล่ะครับ (อ่านจากแผ่นพับนะ)
บ้านอีกหลังนึงที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน ชื่อ Moegi House เป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ออกแบบตามสไตล์ American Classic ตัวบ้านทาสีเขียวทั้งหลัง สร้างขึ้นในปี 1903 โดย A.N. Hansell เพื่อให้เป็นบ้านพักของกงสุลอเมริกัน บ้านหลังนี้หากยืนมองจากระเบียงชั้นสองจะเห็นวิวของเมืองและอ่าว Kobe ได้ทั่วเลยครับ
บ้าน 2 หลังนี้เปิดให้เข้าชมได้ตั้งแต่เวลา 9:00 – 18:00 ครับ ผมแนะนำให้ซื้อตั๋วเหมาทั้งสองบ้านเลยจะคุ้มกว่าครับ ถ้าซื้อแยกจะแพงครับ สามารถซื้อได้ที่บริเวณจุดจำหน่ายตั๋วเข้าชมของ Weather Clock House เลยครับ ราคา 560 เยนครับ
เดินไป ถ่ายรูปไป ชิมไป กินขนมไป จนใกล้เวลาเย็นแล้ว ตอนนี้ก็ได้เวลาแห่งการชมเมืองยามค่ำกันแล้วครับ ผมกับแฟนเลยเดินไปรอขึ้น Kobe City Loop Bus เพื่อจะไปที่ Kobe Tower ครับ (โปรดแลกเหรียญเพื่อชำระค่าโดยสารด้วย 260 เยน/คน)
สำหรับจุดที่จะรอ City Loop Bus นั้นมีหลายแห่งครับ แต่ที่ใกล้ๆ กับย่าน Kitano จะอยู่ที่ Rhine House (อยู่ใกล้ๆ กับ English House) ผมแชร์แผนที่ไว้แล้วครับ สามารถกดดาวน์โหลดได้เลย โหลดแผนที่ PDF (เป็นไฟล์ PDF ภาษาอังกฤษครับ)
เป้าหมายของเราคือขึ้นไปชมแสงเย็นที่ยอด Kobe Tower ดังนั้นเราจะนั่ง City Loop Bus ไปลงที่ Kobe Tower เลยครับ
ค่าบริการสำหรับการขึ้น Kobe Tower อยู่ที่คนละ 700 เยนนะครับ บริเวณชั้นบนสุดทำหรับชมวิวจะเป็นห้องกระจก 360 องศา ซึ่งพอตกกลางคืนจะเปิดไฟระยิบระยับเลย ดังนั้นตากล้องที่ต้องการถ่ายภาพเมืองยามค่ำคืนโดยไม่มีแสงสะท้อน ผมแนะนำให้หาผ้าสีดำหนาๆ หน่อย มาคลุมด้านหลังกล้องนะครับ
วิวจากที่ Kobe Tower นี้สวยงามมากครับ เราจะได้เห็นทิวทัศน์เมือง Kobe ท่ามกลางอาทิตย์อัสดงยามเย็นสวยงามมากจริงๆ ผมไปช่วงฤดูหนาว ฟ้าเลยเปิดครับ เมฆน้อย แต่เห็นพระอาทิตย์กลมโตเลยล่ะ น่าเสียดายที่ผมลืมเอาผ้าสีดำไปบังแสงสะท้อน ไม่งั้นคงได้ภาพดีกว่านี้ครับ
เสร็จสิ้นภารกิจ ผมกับคุณแฟนที่รักเลยถือโอกาสไปเดินเล่นห้างฯ Amie กันเล็กน้อย ก่อนจะไปฝากท้องมื้อเย็นกับร้านสะดวกซื้อ แล้วก็นั่งรถไฟ JR กลับเข้าโรงแรมที่ Kyoto ครับ คืนนี้เรานอนที่โรงแรม Ibis Styles Kyoto ซึ่งอยู่ใกล้กับ JR Kyoto Station เลยครับ
สำหรับโรงแรม Ibis Style Kyoto Station นี้อยู่ใกล้กับสถาน JR Kyoto มากๆ ครับ เดินแค่ 3-4 นาทีก็ถึงแล้ว ราคาในช่วง High Season กับช่วง Low Season นี่ต่างกันสุดขั้วเลยนะครับ หากจะมาพักที่นี่ แนะนำให้เช็คราคาดีๆ ครับ ไม่งั้นอาจตะลึง !!
ห้องพักของโรงแรม iBis นั้นขนาดจะเล็กกว่าในเครือ Toyoko Inn นะครับ (เข้าใจว่าเพราะค่าที่แพง) วางกระเป๋าปุ๊บ ไม่มีทีเดินเลย 5555 แต่ก็มีข้าวของเครื่องใช้ครบครัน เครื่องนอนสะอาด ห้องพักสะอาด ห้องน้ำก็ขนาดมาตรฐานครับ มีอ่างอาบน้ำให้ลงไปนั่งแช่ได้เช่นเคย
วันนี้พวกเราเที่ยวกันหลายที่เลย เดินก็เยอะ ทำให้คืนนี้ค่อนข้างเพลีย เลยต้องรีบเข้านอน เก็บแรงไว้สำหรับโปรแกรมใหญ่ในวันพรุ่งนี้ครับ นั่นคือ ตะลุย Kyoto อดีตเมืองหลวงแสนคลาสสิค นั่นเอง!!! โปรดติดตามตอนต่อไป ^_^