Udaipur (อุเดปุระ) ถูกกล่าวขานเสมอว่าเมืองนี้ “โรแมนติกที่สุดในอินเดีย” ฟังแล้วก็ฉงน ว่าโรแมนติกแบบอินเดียมันจะหวานเว่อร์ขนาดไหน!!? สุดท้ายเมื่อได้มาพิสูจน์ บอกเลยว่า “โรแมนติกแบบ Udaipur คือเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร!!” มาติดตามไปด้วยกันครับ

Udaipur (อุเดปุระ) มีชื่อเรียกเป็นภาษาไทยหลายแบบมาก แต่ที่เรียกได้พ้องเสียงและมีความหมายใกล้เคียงที่สุด คือ “อุทัยปุระ ซึ่งแปลว่า เมืองแห่งอาทิตย์อุทัย” ตรงตามความหมายของชื่อ Udaipur ในภาษาอินเดีย แต่ในที่นี้เราขอเรียกว่า “อุเดปุระ หรือ อุเดเปอร์” ตามการออกเสียงของคนอินเดียนะครับ

เมือง Udaipur เป็นเมืองทางใต้ของ Rajastan (แคว้นราชสถาน) ตั้งอยู่ริมทะเลสาบ Pichola (พิโชล่า) ก่อตั้งขึ้นราวปี ค.ศ. 1568 (449 ปีก่อน) ตามพระประสงค์ของ Maharaja Udai Singh II (มหาราชา อุเด ซิงห์ ที่ 2) จากข้อมูลที่ได้มา ทะเลสาบ Pichola ที่เป็นทำเลสุดโรแมนติกแห่ง Udaipur นี้ ไม่ใช่ทะเลสาบธรรมชาติ แต่เกิดจากการขุดเพื่อกักเก็บน้ำ เพื่อใช้บริโภคในเมือง!!!

ก่อนมาเที่ยว “ราชาสถาน” โปรดอ่านคำแนะนำ10 ข้อควรรู้ที่ทำให้เที่ยว “ชัยปุระและราชสถาน” ได้อย่างสบายใจ

ก่อนจะมาเป็น Udaipur อย่างทุกวันนี้ เมืองหลวงแห่งนี้ชื่อ Chittorgarh เป็นเมืองป้อมปราการบนเนินเขาที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย!! แต่ด้วยข้อจำกัดด้านทำเลและชัยภูมิ ทำให้สุดท้ายมหาราชาผู้ครองนคร จึงได้ย้ายเมืองมาอยู่บริเวณที่ตั้งเมือง Udaipur ในปัจจุบัน

Chittorgarh Fort อดีตเมืองหลวงของ Udaipur

ติดตามอ่านเรื่องราวของเมืองน่าเที่ยวอื่นๆ ในแคว้น ราชสถาน (Rajastan) ได้ตามนี้ครับ

สถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดใน Udaipur

ตลอด 3 วัน 2 คืน ที่เที่ยวอยู่ใน Udaipur เราพบว่าฉายา “นครโรแมนติกแห่งอินเดีย” ประกอบขึ้นจากเรื่องราวน่าสนใจมากมายอยู่เบื้องหลัง เรามารู้จัก Udaipur ให้มากขึ้น ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้กันครับ

1. Jain Temple Ranakpur วิหารหินอ่อนแห่งศาสนาเชน

ระหว่างทางที่เรานั่งรถจาก Jodhpur มุ่งหน้าสู่ Udaipur มีวัดแห่งนึงที่อยากแนะนำให้ไปเที่ยวกันครับ นั่นคือ Jain Temple Ranakpur วัดในศาสนาเชน อายุเกือบ 500 ปี ที่สร้างจากหินอ่อน แกะสลักลวดลายอย่างงดงามและอลังการมากๆ เป็น 1 ใน 5 วัดศักดิ์สิทธิ์แห่งศาสนาเชน ที่มีผู้แสวงบุญเดินทางมานมัสการเป็นจำนวนมาก

ค่าเข้า : 200 รูปี
เวลาทำการ : 12:00 – 17:00 น.

ระเบียบการในการเข้าชม

  • ห้ามถ่ายรูปปั้น หรือรูปเคารพภายในวิหาร
  • โปรดเดินชมวิหารด้วยความสำรวม
  • กรณีนำกล้องหรือโทรศัพท์มือถือเข้าไป เสียค่าธรรมเนียมชิ้นละ 100 รูปี
  • ถ้าเป็นกล้อง VDO หรือ TABLET ชิ้นละ 300 รูปี
  • ค่าเช่าตู้ Locker ฝากของ ตู้ละ 10 รูปี

จุดเด่นภายในวัดเชนแห่งนี้ คือ งานแกะสลักหินอ่อนที่สวยงาม วิจิตร มีรายละเอียดแทบไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละเสา แต่ละโดม ที่อยู่ภายใน โดยเฉพาะแชนเดอเลียร์หินอ่อนที่ห้อยลงมาจากหลังคาโดมของวิหารนั้นสวยงามโดดเด่นไม่แพ้คริสตัลเลย!!

 

2. City Palace of Udaipur

ศูนย์กลางความวิจิตรอลังการแห่งเมือง Udaipur พระราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นตั้งแต่เริ่มสร้างเมือง เมื่อปี ค.ศ. 1559 และได้ต่อเติมขยับขยายเรื่อยมาโดยมหาราชาผู้ครองนครในยุคต่อมา จนกลายเป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดใน Rajastan อย่างที่เห็นในทุกวันนี้

ตัวพระราชวังถูกสร้างจากหินแกรนิตและหินอ่อนที่แกะสลักอย่างวิจิตรงดงาม ภายในประดับประดาด้วยงานกระจกและแก้วหลากสี มีนกยูงเป็นสัญลักษณ์แห่งความรุ่มรวย หรูหรา

ปัจจุบันพระราชวังเปิดพื้นที่ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ให้ผู้คนได้เข้าชม โดยจัดแสดงภาพวาดล้ำค่า ภาชนะ ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า งานทอ ฯลฯ ซึ่งล้วนเกี่ยวพันกับมหาราชาและเชื้อพระวงศ์แห่ง Udaipur

ค่าเข้าชม : 300 รูปี

ติดตามอ่านเรื่องราวของเมืองน่าเที่ยวอื่นๆ ในแคว้น ราชสถาน (Rajastan) ได้ตามนี้ครับ

3. ขึ้นกระเช้าชมวิวเมืองมุมสูงที่ Mansapurna Karni Mata Ropeway

วิวเมือง Udaipur สวยงามโรแมนติกขนาดไหน ถ้าอยากชมให้เต็มตา ต้องมาขึ้นกระเช้าชมวิวที่ Mansapurna Karni Mata Ropeway กันครับ จากในเมือง Udaipur เราสามารถเรียกรถ Tuk Tuk ให้พามาจุดขึ้น Ropeway ได้ครับ (ค่าโดยสารประมาณ 100 รูปี)

เมื่อมาถึงสถานี Ropeway แล้ว ให้เดินไปซื้อตั๋วที่จุดจำหน่ายตั๋วก่อน ค่าขึ้นกระเช้า (ไป-กลับ) คนละ 103 รูปี จากนั้นให้เดินไปรอคิวขึ้นกระเช้า ซึ่งวางระบบป้องกันการแซงคิวไว้ดีมาก (ชอบๆๆ) สภาพกระเช้าใหม่ ดูปลอดภัย ใช้เวลาไม่ถึงประมาณ 10 นาที ก็ขึ้นมาถึงด้านบนแล้ว

ด้านบนเนินเขา Machhala ถูกพัฒนาให้เป็นระเบียงชมวิว พร้อมทางเดินเลียบแนวเขาให้เราสามารถเดินไปชมวิวจุดต่างๆ ด้านบนเนินเขาได้สะดวก ที่ใกล้ๆ กันจะมีวัดฮินดู Karni Mata Temple อยู่ด้วย ซึ่งบริเวณวัดจะมีระเบียงชมวิวอีกแห่งที่ให้วิวสวยไม่แพ้กัน

บนยอดเขา Machhala แห่งนี้เป็นหนึ่งใน Hidden Gem ที่เหมาะสำหรับชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดมุมนึงใน Udaipur เลยครับ

 

4. ล่องทะเลสาบ Pichola นั่งชิลล์ชมวิวบนพระราชวังกลางน้ำ

นอกจากจะได้ฉายาว่าเป็น Romantic City of India แล้ว เมือง Udaipur ยังมีอีกฉายานึงว่า Venice of India (เวนิสแห่งอินเดีย) เพราะนครริมทะเลสาบแห่งนี้นั้นสวยงามโรแมนติกมากจริงๆ

ยิ่งถ้าหากได้ล่องเรือชมทะเลสาบ Pichola แล้วไปนั่งชิลล์บนพระราชวังกลางน้ำ (Jag Mandir Island Palace) ความโรแมนติกจะยิ่งทวีขึ้นอีก 200%!!!

จุดจำหน่ายบัตรล่องเรือชมทะเลสาบ Pichola นั้น หาซื้อได้บริเวณจุดจำหน่ายบัตรเข้าชมพระราชวัง City Palace (ทั้งบริเวณประตูหน้าและประตูหลังพระราชวัง) ราคาบัตรล่องเรือมี 2 ราคา ขึ้นกับช่วงเวลาดังนี้

  1. เวลา 10.00 – 14.00 . ราคา  430 รูปี (400 รูปี + ค่าผ่านประตู 30 รูปี)
  2. เวลา 15.00 – 17.00 . ราคา  730 รูปี (700 รูปี + ค่าผ่านประตู 30 รูปีเรือรอบนี้เหมาะสำหรับไปชมพระอาทิตย์ตกดิน

โดยเรือจะออกทุกๆ 15-20 นาที แต่เราต้องไปจองคิวขึ้นเรือก่อนเวลา 30 นาที เช่น ถ้าอยากขึ้นเรือรอบ 14:00 น. ควรไปรอเรือก่อน 13:30 น.

ก่อนลงเรือแล้ว เจ้าหน้าที่ประจำเรือจะแจกเสื้อชูชีพให้ใส่ จากนั้นเรือจะค่อยๆ พาเราล่องไปในทะเลสาบ Pichola แล้วพาเรามาส่งที่ท่าเรือของพระราชวังกลางน้ำ “จักมันเดียร์” (Jag Mandir Island Palace) หรือ Lake Garden Palace ซึ่งปัจจุบันถูกพัฒนาให้เป็นโรงแรมหรู ร้านอาหารและสปา พร้อมสวนสวยสไตล์อังกฤษให้ได้เดินชิลล์ ถ่ายรูปเล่นกันครับ

ในทะเลสาบ Pichola จะมีพระราชวังกลางน้ำอยู่ 2 แห่ง ได้แก่

  1. Jag Mandir Palace  ที่เราแวะมานั่งเล่นชมวิวอยู่นี่
  2. Jag Niwas Palace     หรือพระราชวังจักนิวาส ซึ่งปัจจุบันถูกเปลี่ยนเป็นโรงแรมชื่อ Taj Lake Palace ภายใต้การดูแลของเครือ Taj Hotel

เราสองคนเลือกนั่งชิลล์ชมวิวทะเลสาบอยู่บน Jag Mandir Palace สั่ง Fish & Chips tartar sauce,  กาแฟอัลมอนด์ปั่น, และชามะนาวและเลมอน มานั่งทานแกล้มวิว เช็คบิลมา 1,333 รูปี (ประมาณ 733 บาท)  ถ้าเทียบกับวิวงามๆ บรรยากาศชิลล์ๆ กลางทะเลสาบแล้วก็นับว่าคุ้มทีเดียว

นั่งชมวิวจนถึงเวลาอันควร ก็ได้เวลาขึ้นเรือกลับฝั่งกันแล้วครับ   โปรดจำไว้ว่าเรือเที่ยวสุดท้ายที่จะพาเรากลับฝั่ง คือ เรือเที่ยว 18:00 น. ดังนั้นเราต้องไปรอคิวขึ้นเรือก่อน 17:30 น. นะครับ!!!

ติดตามอ่านเรื่องราวของเมืองน่าเที่ยวอื่นๆ ในแคว้น ราชสถาน (Rajastan) ได้ตามนี้ครับ

5. เที่ยวชมเมือง Udaipur สัมผัสวิถีชีวิต ชอปปิ้ง และนั่งตุ๊กๆ

อีกหนึ่งวิธีที่จะเที่ยวชมเมือง Udaipur ได้สนุกที่สุด ก็คือ การนั่งรถ Tuk Tuk ครับ!!! รถ Tuk Tuk ที่อินเดียลักษณะจะคล้ายๆ กับบ้านเรานี่แหล่ะแต่คนละสี ถนนชั้นในของเมือง Udaipur นั้นสร้างมาหลายร้อยปีแล้ว ถนนแคบมาก รถยนต์ทั่วไปเข้าไม่ค่อยจะได้ การนั่ง Tuk Tuk จึงเป็นทางเลือกที่จะพาเราเข้าซอยนั้น ออกซอยนี้ ได้ดีมากๆ

ค่าจ้างรถ Tuk Tuk วิ่งไปยังจุดต่างๆ ในเมืองจะอยู่ราวๆ 100 รูปี ถ้าไม่อยากถูกเอาเปรียบเรื่องค่าโดยสาร แนะนำให้สอบถามจากพนักงานโรงแรม หรือคนขับรถเช่าที่พาเรามาเที่ยวก็ได้ครับ รู้ไว้ก่อนถ้าโดนโกงจะได้รับมือทัน 5555

ไปชมบรรยกาศการเที่ยวชมเมือง สัมผัสวิถีชีวิตผู้คน แล้วแวะไปชอปปิ้งกันเลยครับ เราใส่คำอธิบายเอาไว้ใต้ภาพแล้ว ^_^

Saheliyon Ki Bari หรือ Garden of the Queen

Saheliyon Ki Bari หรือ Garden of the Queen

เด็กนักเรียนโบกมือทักทายพวกเรา ขณะกำลังเดินกลับจากโรงเรียน

Jagdish Temple วัดฮินดูในตัวเมือง Udaipur ด้านในห้ามถ่ายภาพ

Charcoal by Carlson หนึ่งในร้านอาหารหรู ที่วิวดีที่สุดใน Udaipur

ร้านขายสินค้าพื้นเมือง งานผ้า งานหัตถกรรม มีอยู่ทั่วไปใน Udaipur

“น้ำมะนาวโซดา” สไตล์อินเดีย เครื่องดื่มแก้กระหายยอดนิยมประจำเมือง

ร้านขายของที่ระลึก ที่เปิดตั้งแต่ 10:00 – 22:30 น. เลยทีเดียว

งานฝีมือสไตล์วินเทจก็มี

เจ้าของร้านก็ดูวินเทจไม่แพ้กัน 5555

โซนร้านขายของที่ระลึกใกล้ๆ วัด Jagdish Temple

 

6. Chittorgarh Fort (ป้อมชิททอร์การ์ท) ย้อนเวลาสู่อดีตเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่

ปิดท้ายกันที่ Chittorgarh Fort อดีตเมืองหลวงและป้อมปราการที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย!!
ป้อมนี้ตั้งอยู่ที่เมือง Chittorgarh (ชิททอร์การ์ท) เป็นป้อมปราการโบราณที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 โดยกษัตริย์แห่งราชวงศ์เมารยะ (Maurya) กินพื้นที่บนเนินเขาสูง 180 เมตร กินพื้นที่ราว 2.8 ตารางกิโลเมตร ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO ให้เป็น World Heritage Site ในปี ค.ศ. 2013

ค่าเข้าชม : 200 รูปี แต่เดี๋ยวก่อน!! หากคุณแสดง Passport ไทย จะได้สิทธิพิเศษในการจ่ายค่าเข้าชมแค่ 15 รูปี เท่ากับคนอินเดีย

อ่านข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิพิเศษของคนไทย เพื่อรับส่วนลดค่าบัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวในอินเดีย ได้ที่นี่

ภายในมีพระราชวังหลายแห่ง มีวัดฮินดู มีโซนที่อยู่อาศัยของชาวเมือง ในอดีตเคยมีบ่อเก็บน้ำมากถึง 84 แห่ง (แต่ปัจจุบันหลงเหลือเพียง 22 แห่ง) ทั้งบ่อน้ำธรรมชาติและบ่อน้ำที่ขุดขึ้นเอง สามารถเก็บกักน้ำได้มากถึง 4,000 ล้านลิตร ซึ่งเป็นปริมาณที่มากพอจะเลี้ยงกองทัพขนาด 50,000 คน ได้นานถึง 4 ปีเลยทีเดียว!!