พอญี่ปุ่นเปิดประเทศแบบไม่ต้องขอวีซ่าปุ๊ป!! ทริปนี้เลยเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากเพื่อจะได้ไปทันในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีระหว่างเดือนตุลาคม -พฤศจิกายนของญี่ปุ่น เพราะนี่เป็นการไปญี่ปุ่นครั้งแรกในรอบ 3 ปีหลังจากช่วงโควิดที่ผ่านมา ตื่นเต้นกันสุดๆๆ ค่ะ

ปูเป้ และพี่ต้นชอบการชมใบไม้เปลี่ยนสีมากซึ่งก็ไปมาหลายที่แล้วทั้งภูมิภาคโทโฮคุ (Tohoku), ฮอกไกโด (Hokkaido), คันไซ (Kansai), หมู่บ้าน Shirakawa-Go ในจังหวัดกิฟุ (Gifu), ทะเลสาบคาวากุจิโกะบริเวณภูเขาไฟฟูจิ และนาโกย่า ดังนั้นทริปนี้เลยขอเปลี่ยนฟีลมาชมใบไม้เปลี่ยนสีของเมืองเล็กๆ มาสัมผัสธรรมชาติแบบเต็มตาให้ฮีลใจแบบหนีความวุ่นวายจากเมืองใหญ่บ้าง และก็เป็นจังหวะที่ไทยแอร์เอเชีย (AirAsia) เปิดรูธใหม่บินตรงไปที่ Fukuoka (ฟุกุโอกะ) เมืองใหญ่ที่สุดของเกาะคิวชู (Kyushu) พอดีเลย งั้นเราก็ลุยไปเที่ยวกันค่าาา

รีวิวที่เกี่ยวข้อง :

ทริป “ใจฟูที่คิวชู” ของเรา เริ่มต้นขึ้นแล้ว!!!

ปูเป้ และพี่ต้นเดินทางไปฟุกุโอกะ (Fukuoka) ระหว่างวันที่ 22-29 พฤศจิกายน 2022 อากาศกำลังเย็นสบายอุณหภูมิประมาณ 12-18 องศา เห็นบไม้กำลังเริ่มเปลี่ยนสีทั้งสีแดง สีเหลือง สีส้ม สวยจนบรรยายไม่ถูก ชุบชูใจเหลือเกิน

ภูมิภาคคิวชู (Kyushu) ขึ้นชื่อว่าธรรมชาติวิวสวย, ซีฟู้ดสดจากทะเล, ผลไม้หวานฉ่ำ ละมุนลิ้นฟินต่อใจ และยังมีอาหารท้องถิ่นอร่อยอีกเยอะทั้ง ราเมงฮากาตะ (Hakata Ramen), คาราชิเมนไทโกะ (Karashi-mentaiko), ซูชิเนื้อม้า, รากบัวยัดไส้วาซาบิ, ไอศกรีมทำมาจากน้ำส้มสดๆ, อาหารสไตล์ Yatai ที่มีเฉพาะ Fukuoka (ฟุกุโอกะ) และอื่นๆ

ไปฟุกุโอกะกับแอร์เอเชีย

ทริปนี้พวกเราบินตรง กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) – ฟุกุโอกะ (Fukuoka) กับสายการบินไทยแอร์เอเชีย AirAsia เช่นเคย (เลิฟๆ) ใช้เวลาบิน 5 ชั่วโมงนิดๆ ไปลงที่สนามบินฟุกุโอกะ (Fukuoka Airport) เมืองที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะคิวชู ไฟลท์ออกจากสนามบินดอนเมือง กรุงเทพฯ ดึกถึงญี่ปุ่นเช้าพร้อมเที่ยวได้เลยค่ะ

ไปฟุกุโอกะกับแอร์เอเชีย ดียังไง?

  • ไฟล์ทบินมีทุกวัน เวลาบินดี ออกตี 1 กว่าๆ ถึง 9 โมงเช้า
  • นอนบนเครื่อง 5 ชม. ถึงแล้วเที่ยวต่อได้เลย
  • บินเซฟๆ ตรงเวลา ราคาก็น่าร๊ากก! สบายกระเป๋า

อย่าลืมเลือก “แพ็คสุดคุ้ม” ได้ครบทั้ง…

  • เลือกที่นั่งติดกันได้เลย
  • น้ำหนักโหลดกระเป๋า 20 กก.
  • เสิร์ฟอาหารร้อน เครื่องดื่มระหว่างบิน
  • กดจองตั๋วได้เลย www.airasia.com

มารู้จักภูมิภาคคิวชู (Kyushu) กันก่อน!!

คิวชู (Kyushu) ภูมิภาคจะอยู่ทางใต้สุดของประเทศญี่ปุ่น โดดเด่นเรื่องธรรมชาติที่สวยงามทั้งภูเขา ออนเซ็น และทะเล มีของดีซ่อนอยู่เยอะมากกกกก!!! ภูมิภาคนี้ประกอบด้วย 7 จังหวัด คือ จังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka), จังหวัดซะกะ (Saga), จังหวัดโออิตะ (Oita), จังหวัดนางาซากิ (Nagasaki), จังหวัดคุมะโมโตะ (Kumamoto), จังหวัดมิยะซะกิ (Miyazaki) และจังหวัดคะโงะชิมะ (Kagoshima)

การเดินทางเที่ยวในเกาะคิวชูเหนือ

ทริปนี้เราขับรถเที่ยวภูมิภาคคิวชูเฉพาะโซนเหนือ (North Kyushu) ใช้เวลารวม 8 วัน 7 คืน แพลนขับรถเป็นวงกลมเที่ยวเมืองหลักๆ โดยเริ่มจากรับรถเช่าที่ สนามบินของฟุกุโอกะ (Fukuoka) > ยุฟุอิน (Yufuin) > เบปปุ (Beppu) > คุมาโมโตะ (Kumamoto) > KitaKyushu (คีตะคิวชู) > กลับมาที่ฟุกุโอกะ (Fukuoka) อีก 2 วัน ก่อนบินกลับไทย

เช่ารถขับกับ ToCoo! Car Rental

ทริปคิวชูนี้เราเดินทางกัน 3 คนแบบขับรถเที่ยวเอง แวะไปเรื่อยๆ นี่คืออีกหนึ่งความสุขของการขับรถเที่ยว คือ การได้จอดถ่ายวิวนี่แหล่ะ เจอมุมไหนสวยปุ๊บ รีบมองหาที่จอดปั๊บ ยิ่งไปช่วงใบไม้เปลี่ยนสี (Autumn) ปลายเดือน พ.ย. – ต้น ธ.ค. ยิ่งตะการตา เพราะมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะมาก!! แต่ที่จะต้องแลกมาก็คือช่วงกลางวันที่สั้นกว่าปกติมากๆ พระอาทิตย์ขึ้นช้า-ตกเร็ว ท้องฟ้าตอน 5 โมงเย็นแต่มืดอย่างกับ 1 ทุ่ม!! ทำให้เที่ยวได้วันละไม่กี่ที่ ดังนั้นการขับรถเที่ยวจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ทำให้เราเที่ยวแบบชิลล์ขึ้น มีความสุขขึ้น ได้เห็นใบไม้กำลังเปลี่ยนสีทั้งภูเขาแบบสวยสะพรึงทำให้ได้ใจฟู อิ่มเอมกับความเป็นญี่ปุ่น ทุกทริปที่ปูเป้แพลนขับรถเที่ยวญี่ปุ่นจะจองผ่าน ToCoo! Car Rental สะดวกสบาย รวดเร็ว สมัยนี้เรื่อง “เช่ารถขับรถเที่ยวญี่ปุ่นเป็นเรื่องเล็ก” จองเองผ่านทางเว็บไซต์ได้ง่ายมากค่ะ

ทริปนี้ไปกัน 3 คน ปูเป้เช่ารถ Toyota รุ่น Prius Hybrid กับ ToCoo! Car Rental หลังจากลองขับรถแล้ว สมรรถนะรถดี ขับนิ่ม วิ่งเงียบ ยิ่งวิ่งระยะไกลยิ่งประหยัดน้ำมัน แถมรถใส่ของได้เยอะ กระโปรงท้ายรถสามารถใส่กระเป๋าเดินทาง 30″ วางแบบแนวนอนได้ 3 ใบ และเบาะหลังคนขับใส่กระเป๋าเดินทาง 20″ ได้ 1 ใบ และกระเป๋ากล้องเป้ใบใหญ่อีก 1 ใบ ทริปนี้ขับรถรวมทั้งหมด 720 กม. เติมน้ำมันไป 1,400 บาท ปูเป้ว่าคุ้มค่ามาก เดินทางสะดวกตามใจเราได้ดีค่ะ!!
อ้อ!! แต่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอื่นๆ เช่น ค่าที่จอดรถ, ค่าขึ้นทางด่วน และค่าประกันภัยรถด้วยนะคะ

ข้อดีของการเช่ารถกับ ToCoo!

  • จุดแข็งที่ 1 ของ ToCoo! คือ เว็บไซต์จองรถของ ToCoo! นั้น “รองรับภาษาไทย” แบบจริงจังเลยค่ะ ทุกเมนู ทุกหัวข้อบนเว็บไซต์ มีข้อมูลภาษาไทยรองรับหมด ไม่เข้าใจรายละเอียดตรงไหน กดเข้าไปอ่านได้เลย เข้าใจทะลุปรุโปร่ง!!!
  • จุดแข็งที่ 2 ของ ToCoo! คือ เชื่อมโยงบริษัทรถเช่าเกือบทุกค่ายในญี่ปุ่น ทำให้ ToCoo! มีรถเช่าพร้อมให้บริการเยอะมาก!!! มีรถหลายแบบให้เลือก รวมถึงมี option ต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเช่ารถเยอะค่ะ
  • จุดแข็งที่ 3 ของ ToCoo! คือ เค้ามีแพ็คเกจเช่ารถให้เลือกหลาย Plan เลย ไม่ว่าจะเป็น Plan ยอดฮิต (บนหน้าแรกของเว็บ)

จองรถเช่ากับ ToCoo! Car Rental ใส่ FVT2ZGได้รับส่วนลดทันที 1,000 เยน

เงื่อนไขการใช้โค้ดคูปอง

  • โค้ดคูปอง FVT2ZG   : รับส่วนลดทันที 1,000 เยน เมื่อมียอดค่ารถเช่า 10,000 เยนขึ้นไป
  • ระยะเวลาการเช่ารถ : 1 ต.ค. 2024 – 31 มี.ค.2025

การเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น

ไม่ต้องขอวีซ่า และสามารถอยู่ได้ไม่เกิน 15 วัน โดยมีเงื่อนไขดังนี้ ก่อนเข้าประเทศญี่ปุ่นจำเป็นต้องลงทะเบียนใน Visit Japan Web เมื่อลงสำเร็จทุกขั้นตอนเราจะได้ QR Code แถบสีน้ำเงินรวม 2 อัน คือ Immigration (Disembarkation Card) และ Customs Declaration พอลงเครื่องบินจะมีเจ้าหน้าที่ประจำแต่ละจุดเพื่อแสดง QR Code แม้ว่าคิวจะต่อแถวยาวแต่เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นจะทำงานเป็นระบบมากๆ ทำให้การเดินทางขาเข้าประเทศใช้เวลาประมาณ 30-45 นาที ค่อนข้างสะดวก และรวดเร็ว

ทำประกันภัยการเดินทาง เพิ่มความอุ่นใจให้ทุกทริป

เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ยิ่งถ้าอยู่ต่างบ้านต่างถิ่น ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมา เรื่องที่ควรจัดการได้ อาจไม่ง่ายอย่างที่คิด ทั้งเครื่องบินดีเลย์ กระเป๋าหาย (หรือล่าช้า) ประสบอุบัติเหตุ ป่วยไข้ ทรัพย์สินสูญหาย และปัญหาจุกจิกอีกมากมาย ที่จะพาลทำให้ทริปนั้นกลายเป็นฝันร้ายเอาง่ายๆ

เพื่อความอุ่นใจ ต้นกับปูเป้เลยเลือกทำประกันภัยการเดินทางเอาไว้ล่วงหน้าเสมอ สมัยเป็น Blogger ใหม่ๆ เราก็ซื้อประกันภัยการเดินทางเป็นรายเที่ยวครับ แต่หลังๆ นี่เดินทางปีนึง หลายทริปมากๆ เราเลยเลือกทำประกันภัยการเดินทางกันเป็นรายปี 5555 (ใครที่เดินทางปีนึงเกิน 5-6 ทริป ซื้อ ประกันการเดินทางชับบ์ Chubb Travel Buddy แบบรายปี ปีคุ้มสุดครับ)

สำหรับ Road Trip (ขับรถเที่ยว) เกาะคิวชู รอบนี้เราทำประกันภัยการเดินทางกับ “ประกันการเดินทางชับบ์ Chubb Travel Buddy แบบรายปี” เค้าดูแลครอบคลุมทั้ง…

  • การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุและความพิการ
  • ค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ (ทั้งโควิด และไข้หวัดใหญ่)
  • ค่ารักษาพยาบาลต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทย 21 วัน
  • ผลประโยชน์รายวันสำหรับการเข้ารักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยใน ใน รพ.ต่างประเทศ
  • การเคลื่อนย้ายทางการแพทย์ฉุกเฉิน หรือการเคลื่อนย้ายกลับภูมิลำเนา
  • ค่าใช้จ่ายในการส่งศพหรืออัฐิกลับประเทศภูมิลำเนา
  • ค่าใช้จ่ายในการเดินทางและที่พักเพื่อไปเยี่ยมผู้เอาประกันภัยที่ รพ.ในต่างประเทศ
  • มีบริการสายด่วนช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม.
  • มีแผนประกันเสริม Flight Secure ทั้งการบอกเลิกการเดินทาง, การดีเลย์ของเที่ยวบิน การพลาดการต่อเครื่อง, ความล่าช้าของกระเป๋าเดินทาง รวมถึกรณีโจรขึ้นบ้าน ระหว่างเดินทางอยู่ต่างประเทศ

ที่สำคัญสามารถ ซื้อออนไลน์ได้ง่าย เลือกแผนได้ตามที่เราต้องการ ซื้อปุ๊ปได้กรมธรรม์ประกันภัยการเดินทางเลย เคลมไวไม่งอแง เบี้ยเริ่มต้นหลักร้อย ความคุ้มครองหลักล้าน ถูกใจเราสองคนสุดๆ!!

สนใจซื้อ ประกันการเดินทางชับบ์ Chubb Travel Buddy พร้อมได้รับส่วนลดพิเศษ คลิกที่นี่
อย่าลืมกรอกโค้ด NENGAN18 เพื่อรับส่วนลดน๊า!

เดินทางเที่ยวคิวชูด้วยรถไฟ

สำหรับคนสะดวกเที่ยวด้วยรถไฟ JR แถบคิวชู (Kyushu) ก็ง่ายมาก สะดวกไม่แพ้ขับรถค่ะ ด้วยรถไฟญี่ปุ่นมีตารางเวลาที่หนาแน่นและตรงเวลา รู้เวลาถึงจุดหมายได้ดี นั่งสบาย และยังสะอาดด้วย หลังจากซื้อ JR Pass จาก Klook เราจะได้ Exchange Order ให้นำไปแลกรับบัตร JR Pass ฉบับจริงที่สถานีรถไฟที่ญี่ปุ่นได้เลย

1. เที่ยวเฉพาะในภูมิภาคคิวชู
แนะนำ JR Kyushu Rail Pass ครอบคลุมพื้นที่ฝั่งเหนือ/ฝั่งใต้/ทั้งหมดในคิวชู มีแบบ 3, 5, 7 วันใช้ได้ไม่จำกัดครั้ง ตั๋วรถไฟแบบไม่จำกัดเที่ยวในภูมิภาคคิวชูจะขึ้นรถไฟท้องถิ่น รถไฟด่วนพิเศษ หรือรถไฟชินคันเซ็น ขึ้นเหนือ ล่องใต้หรือทั่วทั้งภูมิภาคคิวชู สะดวกสบายมากๆค่ะ แบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ North Kyushu Pass (คิวชูเหนือ), Kyushu Southern Pass (คิวชูใต้) และ All Kyushu Pass (คิวชูทั้งหมด)

สนใจซื้อ บัตร JR Kyushu Rail Pass ในราคาพิเศษ คลิกที่นี่

2. เที่ยวคิวชูเหนือ และภูมิภาคอื่นๆ
แนะนำ JR Sanyo-San‘in Northern Kyushu Pass : พาส JR สำหรับซันโย, ซันอิน และคิวชูตอนเหนือ (7 วัน) จะขึ้นรถไฟ JR ได้ไม่จำกัดเดินทางได้จากชินโอซาก้า (Shin Osaka), ทตโตริ (Tottori), ฮิโรชิม่า (Hiroshima), ยาวถึงภูมิภาคคิวชูตอนเหนือ เช่น นั่งรถไฟ Yufuin No Mori ไปเที่ยวยูฟุอิน (Yufuin), เบบปุ (Beppu), โออิตะ (Oita), คุมาโมโต้ (Kumamoto), นางาซากิ (Nagasaki), ซากะ (Saga), Mojiko (โมจิโกะ) และที่อื่นๆ

สนใจซื้อ บัตร JR Sanyo-San‘in Northern Kyushu Pass (7 วัน) ในราคาพิเศษ คลิกที่นี่

3. บินลงฟุกุโอกะ (Fukuoka) แต่เน้นเที่ยวภูมิภาคใกล้ๆ
ด้วยเส้นทางบินลงฟุกุโอกะ (Fukuoka) กำลังฮิตมากกกก เพราะราคาตั๋วเครื่องบินถูกกว่าภูมิภาคอื่นๆ!! ถ้าจากฟุกุโอกะ (Fukuoka) แล้วอยากไปเที่ยวแถบภูมิภาคคันไซ (Kansai) เช่น สวนสนุกยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ เจแปน (Universal Studios Japan) หรือ ไปเดินเล่นเมืองเก่าที่เกียวโต (Kyoto) ก็ทำได้ง่ายมากค่ะ

แนะนำ บัตร JR Pass Sanyo-San’in Area Pass สำหรับซันโย และซันอิน (7 วัน) ตั๋วนี้นั่งรถไฟ JR และชินคังเซ็นได้ 7 วัน จากฟุกุโอกะ (Fukuoka) ขึ้นรถไฟที่สถานีฮากาตะ Hakata) เดินทางไปเมืองดังนี้ ฮิโรชิม่า (Hiroshima), โอกายามะ (Okayama), โกเบ (Kobe), โอซาก้า (Osaka), เกียวโต (Kyoto), นารา (Nara), วากายามะ (Wakayama), ทตโตริ (Tottori), มัตสึเอะ (Matsue) และอื่นๆ (พาสนี้ไม่สามารถใช้กับรถไฟ JR ในคิวชูตอนเหนือได้)

สนใจซื้อ บัตร JR Pass Sanyo-San’in Area Pass (7 วัน) ในราคาพิเศษ คลิกที่นี่

4. เที่ยวภูมิภาคคันไซ (Kansai)

JR Kansai Wide Area Pass ครอบคลุมพื้นที่ (5 วัน)
เหมาะกับคนที่อยากเที่ยวหลายวัน ไปหลายเมืองในภูมิภาคคันไซ นอกจาก 7 จังหวัดหลักของภูมิภาคคันไซแล้ว Pass นี้ยังพาไปไกลถึงภูมิภาค Chugoku ฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น (ไปได้ไกลกว่า JR Kansai Area Pass) ครอบคลุมเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ เช่น โอกายามะ โอสึ ทากามัตสึ อามาโนะฮาชิดาเตะ คิโนะซากิออนเซ็น ทตโตะริ คิชิ ชิราฮามะ และอีกหลายเมือง (ดูแผนที่ประกอบ) สามารถใช้บริการได้ไม่จำกัดครั้งไปยังเมืองที่ระบุไว้ตลอด 5 วัน เอาจริงๆ แค่นั่งรถไฟชินคันเซ็น 2 รอบก็คุ้มค่าเกินราคาพาสแล้ว, ใช้ Pass ขึ้นรถไฟ Hello Kitty Shinkansen, นั่งรถไฟความเร็วสูง Sanyo Shikkansen (ยกเว้นระหว่าง Okayama และ Hakata) แบบไม่จองที่นั่งได้ไม่จำกัดเที่ยว และรถไฟด่วนพิเศษ Haruka, Kuroshio, Thunder Bird, Kounotori, Super Hakuto และรถไฟท้องถิ่นได้

JR Kansai Area Pass แบบคนมีเวลาน้อย (1-4 วัน)
เหมาะกับคนที่เที่ยวจังหวัดยอดนิยม เช่น มิเอะ ชิกะ เกียวโต นารา วากายามะ เฮียวโกะ (โกเบ, ฮิเมจิ) และโอซาก้า มีให้เลือกตั้งแต่ 1-4 วัน โดยสามารถใช้บริการได้ไม่จำกัดครั้งไปยังเมืองที่ระบุไว้ และ รถไฟ Kansai-Airport Express “HARUKA” เมื่อนั่งที่นั่งแบบจองล่วงหน้า, รถไฟประเภท Rapid Service หรือ Special Rapid Service หรือประเภท Local ในเส้นทางเดินรถไฟธรรมดาของ JR-WEST, WEST JAPAN JR BUS ใช้ได้เฉพาะกับรถบัสประจำทางภายในเขตพื้นที่ที่กำหนดเท่านั้น

สถานที่เที่ยวสุดฮิตของโอซาก้า (Osaka) ถ้าได้วันที่เดินทางไปแล้วแนะนำให้ซื้อ บัตรเข้าสวนสนุกยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ ญี่ปุ่น(Universal Studios Japan) เตรียมไว้ล่วงหน้าก่อนจะยิ่งทำให้การสะดวก รวดเร็ว มีเวลาเที่ยวมากขึ้น ไม่เสียเวลาต่อคิว หรือต่อแถวซื้อบัตรด้านหน้าทางเข้า แม้เที่ยววันธรรมดาคนก็แน่นมากกกกกก!!

  • สนใจซื้อ บัตรเข้าสวนสนุกแบบสตูดิโอพาส ในราคาพิเศษ คลิกที่นี่
  • สนใจซื้อ บัตรเอ็กซ์เพรสพาส 7 (Express Pass 7) ในราคาพิเศษ คลิกที่นี่
  • สนใจซื้อ บัตรเอ็กซ์เพรสพาส 4 (Express Pass 4) ในราคาพิเศษ คลิกที่นี่

5. กรณีเที่ยวแบบครอบคลุมทุกภูมิภาคของญี่ปุ่น
JR All Area Pass สำหรับทุกภูมิภาคในญี่ปุ่น (7, 14, 21 วัน) พาสนี้คุ้มมากๆ จ่ายครั้งเดียวสามารถเดินทางเที่ยวได้ทั่วประเทศญี่ปุ่น เที่ยวได้ครอบคลุมทุกภูมิภาคของญี่ปุ่นสำหรับ 7, 14, 21 วัน เที่ยวข้ามภูมิภาคได้ เช่น จากฮอกไกโด (Hokkaido) > คันโต (Kanto) > คันไซ (Kansai) หรือคิวชู (Kyushu) สามารถใช้รถไฟสาย JR แบบไม่อั้นรวมทั้งรถบัส, เรือเฟอร์รี่มิยาจิม่า, รถไฟชินคันเซ็นทั้งหมดที่เชื่อมต่อกับเมืองใหญ่ทั้งสาย Tokaido Shinkansen, สาย Akita Shinkansen, สาย Kyushu Shinkansen, สาย Hokkaido Shinkansen, สาย Joetsu Shinkansen, สาย Yamagata Shinkansen และ Hokuriku Shinkansen เป็นต้น (พาสนี้ไม่ครอบคลุมการเดินทางโดยขบวนรถไฟโนโซมิและมิซูโฮะ)

สนใจซื้อ JR Pass สำหรับทุกภูมิภาคในญี่ปุ่น ในราคาพิเศษ คลิกที่นี่

เดินทางจากฟุกุโอกะ Fukuoka) ไปคุมาโมโตะ (Kumamoto)

กรณีเที่ยวในฟุกุโอกะ (Fukuoka) เต็มอิ่มแล้ว อยากเที่ยว 1 วันในคุมาโมโตะ (Kumamoto) แบบไปเช้าและกลับเย็น แต่ไม่อยากเช่ารถ หรือไม่อยากนั่งรถไฟหลายต่อก็สามารถทำได้ค่ะ  ปูเป้ขอแนะนำ ทัวร์ 1 วัน : ปราสาทคุมาโมโตะ, ภูเขาไฟอะโสะซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ยังปะทุอยู่ใจกลางเกาะคิวชูและคุโรคาวะออนเซ็น ออกเดินทางจากฟุกุโอกะ ในราคาพิเศษ คลิกที่นี่

ทริป “ใจฟูที่คิวชู” เริ่มต้นแล้ว!!!

เตรียมพร้อมก่อนหนีงานไปเที่ยวญี่ปุ่น

North Kyushu Travel Guide 2023 :
จัดไปให้จุกๆ 40 พิกัดเที่ยวคิวชูเหนือ
ญี่ปุ่น (อัพเดท 2023)

  • 13 พิกัดเที่ยวใน Fukuoka (ฟุกุโอกะ) : เมืองใหญ่สุด ทันสมัยสุดของเกาะคิวชู
  • 10 พิกัดเที่ยวใน Yufuin (ยุฟุอิน) : เมืองสุดคิ้วท์แห่งเกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น
  • 3 พิกัดเที่ยวใน Beppu (เบปปุ) : เมืองออนเซ็นริมทะเลของเกาะคิวชู
  • 2 พิกัดเที่ยวใน Oita (โออิตะ) : เมืองอันดับหนึ่งเรื่องบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติมากที่สุดในญี่ปุ่น
  • 11 พิกัดเที่ยวใน Kumamoto (คุมาโมโตะ) : เมืองแห่งภูเขาไฟ วิวสวยปังอลังการ
  • 1 พิกัดเที่ยวใน KitaKyushu (คีตะคิวชู) : เมืองท่าสไตล์ยุโรปแห่งคิวชู

จะเข้าเมือง Fukuoka (ฟุกุโอกะ) ยังไงดี?

เมื่อมาถึงสนามบินฟุกุโอกะ Fukuoka Airport แล้วจะไปรับรถเช่า หรือเดินทางเข้าเมืองไป Hakata หรือ Tenjin ก็ง่ายๆ มากค่ะ เริ่มจากเดินออกมาด้านนอกอาคาร International Terminal แล้วมาขึ้นรถ Shuttle service ที่ให้บริการฟรีภายในสนามบิน เพื่อเดินทางไปฝั่ง Domestic Terminal พอมาจุดจอดรถด้านหน้าอาคาร

ฝั่งตรงข้าม Domestic Terminal จะมีร้านเช่ารถเยอะเลย
  • คนที่เช่ารถจะเห็นร้านเช่ารถทั้งมากมายจะอยู่อีกฝั่งของถนน สามารถเดินข้ามถนนไปร้านเช่ารถได้เลยค่ะ
  • คนที่เดินทางเข้าเมือง Fukuoka (ฟุกุโอกะ) ให้เดินไปยังสถานีสนามบินฟุกุโอกะ (Fukuokakuko Station) แล้วนั่งรถไฟใต้ดินสายสีส้ม Kuko Line เข้าเมือง หรือไปลงสถานีต่างๆ
  • ปูเป้แนะนำให้หาที่พักย่านฮากาตะ (Hakata), เทนจิน (Tenjin), อะกาซากะ (Akasaka) ใช้เวลานั่งรถไฟสั้นๆ แค่ 5-13 นาทีก็ถึงแล้ว ค่าโดยสาร 260 เยน เป็นการเข้าเมืองที่สะดวกและรวดเร็วมากค่ะ

13 พิกัดเที่ยวใน Fukuoka(ฟุกุโอกะ):
เมืองใหญ่สุด ทันสมัยสุดของเกาะคิวชู

Fukuoka (ฟุกุโอกะ) เป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 6 ตั้งอยู่ริมชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น ถือว่าเป็นเมืองหลักของภูมิภาคที่มีความทันสมัย, มีรถไฟใต้ดิน, มีรถไฟเชื่อมต่อภูมิภาค และเมืองต่างๆ ซึ่งความหนาแน่นจะน้อยกว่าภูมิภาคอื่นๆ แถม Fukuoka (ฟุกุโอกะ) ยังได้รับการจัดอันดับว่าเป็น เมืองน่าอยู่อันดับ 12 ของโลกจากนิตยสาร Monocle ในปี 2013 เนื่องจากในตัวเมืองมีพื้นที่สีเขียวเยอะ พอเราได้ไปสัมผัส Fukuoka (ฟุกุโอกะ) ที่ Fukuoka (ฟุกุโอกะ) มีสวนสาธารณะดีๆ สวยร่มรื่น ต้นไม้ในเมืองนี้เยอะดีจังค่ะ
อ้างอิงข้อมูลจาก : wikipedia

1. Ukiha Inari Shrine (ศาลเจ้าอุกิฮะอินาริ)

มาถึง Fukuoka (ฟุกุโอกะ) ปุ๊บ ก็ตรงดิ่งมาพิกัดนี้ทันทีจ้า!! Ukiha Inari Shrine ศาลเจ้าอุกิฮะอินาริชื่อดังสุดขลังในเมืองอุกิฮะ (Ukiha) เป็นหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเทพเจ้าอินาริ ที่ผู้คนนิยมมาขอพรสักการะในด้านธุรกิจให้เจริญรุ่งเรือง พืชผลอุดมสมบูรณ์ การผลิตเบียร์ อายุยืนยาว และด้านการเรียน การงาน

ศาลเจ้าและเสาเสาโทริอิสีแดงบนภูเขาเหมือนกันอาจจะมีความคล้ายๆ กับ Fushimi-Inari Shrine ที่เกียวโตที่มี แต่ที่นี่ Ukiha Inari Shrine (ศาลเจ้าอุกิฮะอินาริ) จะมีนักท่องเที่ยวน้อยกว่า เพราะคนยังไม่ค่อยรู้จักจึงมีความเงียบสงบมากกว่า และนี่คือจุดชมดอกซากุระสวยๆ ทั้งเขาด้วยจ้า

จุดเด่นของศาลเจ้าอุกิฮะอินาริ (Ukiha Inari Shrine) ที่อยู่บนเขาพร้อมบันไดสามร้อยขั้น และเสาโทริอิสีแดงวางเรียงรายจากบนภูเขาสู่ถนนด้านล่างเกือบร้อยต้นที่ค่อยๆ แม้ต้องเดินกันจนเขาสั่น แต่วิวบนนี้สุโค่ย!! จากมุมด้านบนจะเห็นทิวทัศน์มุมกว้างที่สวยงามของภูเขา Chikugo, บ้านเรือนของผู้คน, และนาข้าวมากมาย

ใครชอบชมวิวสวยๆ ขึ้นมาเลยรับรองไม่ผิดหวังค่ะ ไม่ว่าจะแสงเช้าหรือเย็นก็สวยไปคนละแบบ สำหรับคนที่ขับรถแนะนำให้ขับไปจอดบนเขาด้านบนได้เลย ไม่ต้องเดินให้ขาสั่น เหนื่อยหอบจ้า

ข้อมูลเพิ่มเติม
ค่าเข้า : ฟรี
พิกัด : https://goo.gl/maps/yfDoxLYgPmFe7S1N6

2. Ohori Park Japanese Garden (สวนญี่ปุ่นโอโฮริ)

สวนญี่ปุ่น Ohori Park Japanese Garden ตั้งอยู่ภายในสวนโอโฮริ (Ohori) ซึ่งเป็นสวนสาธารณะกลางเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ที่นี่คือ อีกหนึ่งพิกัดชมใบไม้แดงสวยๆ สวนมีขนาดพื้นที่ 12,000 ตร.ม. จุดเด่นของสวนญี่ปุ่นแห่งนี้ออกแบบภูมิทัศน์ได้สวยมากล้อมรอบด้วยต้นไม้แน่นๆ เหมือนป่ากลางใจเมือง มีสระน้ำกลางสวนขนาดใหญ่ น้ำตก เนินเขาเทียม โขดหิน ลำธารคดเคี้ยว สะพานไม้ ศิลปะการไหลของน้ำไปสู่สระน้ำตรงกลาง และยังมี Teahouse ให้ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศสวนสวยๆ อีกด้วย

สวนญี่ปุ่น Ohori Park Japanese Garden ออกแบบโดย Professor Kinsaku Nakane ซึ่งเป็นนักออกแบบสวนสวยชื่อดังหลายแห่งทั้งในและนอกประเทศญี่ปุ่น มีผลงานการออกแบบภูมิทัศน์จัดสวนที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะอะดาจิ (Adachi Museum of Art), ปราสาทนิโจ (Nijo Castle) และพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์บอสตัน (Boston Museum of Fine Arts)

ภายใน สวนญี่ปุ่น Ohori Park Japanese Garden บรรยากาศดี ร่มรื่น มุมถ่ายรูปเยอะมากเลยค่ะ แค่มานั่งมองวิวเฉยๆ ก็เพลินตา เพลินใจ นั่งอยู่ได้ยาวๆ ทั้งวัน เดินเล่นสวนจนจุใจแล้วจะแวะไปเดินเล่นที่ Fukuoka Art Museum ที่อยู่ใกล้ๆ กันก็ได้ค่ะ

พอเราเดินไปเรื่อยๆ จะเห็นศิลปินชาวญี่ปุ่นมาวาดภาพสวน, มีคู่รักใส่ชุดญี่ปุ่นมาถ่ายรูปพรีเว้ดดิ้งตามมุมต่างๆ ที่สวนญี่ปุ่น Ohori Park Japanese Garden จัดสวนสวย บรรยากาศดีที่ประทับใจสุดๆค่ะ ถ้ามาเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ห้ามพลาดน๊า

ข้อมูลเพิ่มเติม
ค่าเข้า : 250 เยน
เปิดทำการ : ทุกวันตั้งแต่เวลา 09:00 – 17:00 หรือ 18:00 ขึ้นอยู่กับฤดูกาล (ปิดทุกวันจันทร์)
การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสถานี Ohori Koen Exit 3 เดินต่ออีก 10 นาที
Website : https://www.ohoriteien.jp/en/
พิกัด : https://goo.gl/maps/FmpYDWLRCyze8cYFA

3. TeamLab Forest Fukuoka (ทีมแล็บฟอเรสต์ : พิพิธภัณฑ์ศิลปะดิจิตอลฟุกุโอกะ)

ตอนนี้ที่ Fukuoka เค้าล้ำมากกก!! เพราะนี่คือ ทีมแล็บฟอเรสต์ (TeamLab Forest) “พิพิธภัณฑ์ศิลปะดิจิตอลฟุกุโอกะ” เป็นหนึ่งในไฮไลต์ของทริปฟุกุโอกะ (Fukuoka) ที่ปูเป้ และพี่ต้นประทับใจมาก!! ครั้งแรกกับอาร์ตมิวเซียม ตื่นเต้นตื่นตาสุดๆ เลยค่าาา!!

แรกๆ เข้าไปในงานทีมแล็บฟอเรสต์ (TeamLab Forest) ก็คิดว่าคงงั้นๆ (แอบ) เผื่อใจผิดหวังไว้แล้วหล่ะ!! แต่พอผ่านม่านประตูเข้ามาก็ต้องอ้าปากค้าง มันตระการตา สวยทั้งแสง สี เสียง อย่างกับหลุดไปอีกโลกนึงเลยค่ะ

ช่วงที่เราไปทีมแล็บฟอเรสต์ (TeamLab Forest) เค้าจัดเป็นธีม Autumn Scenery เข้ากับเทศกาล แต่ละห้องสวยตรึงตา มีนั่นนี่ให้เซอร์ไพรส์ตลอด ถ่ายรูปสนุก ขาตั้งกล้องไม่จำเป็นเลย แค่เอามือถือถ่ายยังสวยเลยค่ะ

แต่ละห้องของ ทีมแล็บฟอเรสต์ (TeamLab Forest) จะสร้างงานศิลปะแบบอินเตอร์แอคทีฟ ให้ผู้ที่เข้าชมสามารถปฏิสัมพันธ์กับงานศิลปะแต่ละชิ้นได้ทั้งการใช้แอพฯ มือถือ, การเคลื่อนไหว, การใช้กล้องถ่ายภาพ

เราสองทึ่งกับเทคโนโลยีที่นำมาใช้มากๆ มันกระตุ้นต่อมเด็ก พาเรากลับไปสิบสี่อีกครั้ง คุ้มค่าด้วยประการทั้งปวง!! แนะนำว่าต้องไป ทีมแล็บฟอเรสต์ (TeamLab Forest) สนุกมากกกก

นอกจากจะดื่มด่ำกับโลกแห่งศิลปะดิจิทัลที่พิพิธภัณฑ์ทีมแล็บ teeamLab Forest แล้ว ภายในศูนย์ความบันเทิง BOSS E · ZO FUKUOKA ในฟุกุโอกะ ยังมีสวนสนุกวีอาร์, สไลเดอร์ที่ยาวถึง 100 เมตร ซึ่งมีความสูงกว่า 40 เมตรจากตัวอาคารไปจนถึงพื้นด้านล่าง, บัตรเข้าพิพิธภัณฑ์เบสบอลโอ ซาดาฮารุ นักเบสบอลชื่อดัง, บัตรเข้า 89 พาร์ก-ฮอว์กส์ เบสบอล, ร้านอาหาร, สวนสัตว์ และอีกมากมาย

ซื้อ บัตรเข้าชมพิพิธภัณฑ์ทีมแล็บ ฟอเรสต์ (teamLab Forest) ในราคาพิเศษ คลิกที่นี่

ซื้อ บัตรเข้าศูนย์ความบันเทิงบอส อี・โซ ฟุกุโอกะ (BOSS E・ZO FUKUOKA) ในราคาพิเศษ คลิกที่นี่

ข้อมูลเพิ่มเติม
สถานที่ : ศูนย์ความบันเทิง BOSS E · ZO FUKUOKA / TeamLab Forest ตั้งอยู่ชั้น 5
การเดินทาง : ลงรถไฟใต้ดินที่สถานี Tojinmachi Station จากนั้นเดินต่อประมาณ 10 กว่านาที (1.1 กม)
Website : https://www.teamlab.art/th/e/forest/
พิกัด : https://goo.gl/maps/LmgYhfHE26Cmejv56

4. Momochi Seaside Park Fukuoka (โมะโมะจิ ซีไซด์พาร์ค)

หลังจากเที่ยวทีมแล็บฟอเรสต์ (TeamLab Forest) จนสนุกจุใจแล้ว ปูเป้จะพามาเที่ยวชิลล์ๆ ชมทะเลฮีลใจกลางเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) กันบ้างค่ะ โมะโมะจิ ซีไซด์พาร์ค ฟุกุโอกะ (Momochi Seaside Park Fukuoka) เป็นสวนสาธารณะติดริมทะเลอ่าวฮากะตะใจกลางเมือง Fukuoka (ฟุกุโอกะ) สามารถเดินจากศูนย์ความบันเทิง BOSS E · ZO FUKUOKA ระยะทาง 1.5 กม. เดินมาเรื่อยๆ ประมาณ 15-20 นาทีค่ะ

ส่วนถ้าเพื่อนๆ อยากเห็น มะโมะจิ ซีไซด์พาร์ค ฟุกุโอกะ (Momochi Seaside Park Fukuoka) ริมทะเลวิวกว้างๆ จากมุมสูง แบบว๊าววววๆ ปูเป้แนะนำให้เดินไปฝั่งตรงข้ามใช้เวลาแค่ 2 นาที เราจะไปขึ้น ฟุกุโอกะทาวเวอร์ (Fukuoka Tower) ตรงข้าม Momochi Seaside Park ริมทะเล ด้านบนเราจะเห็นวิวรอบด้านแบบพาโนราม่าของเมืองฟุกุโอกะจากบนหอคอยริมทะเลที่สูง 234 เมตร ซึ่งเป็นหอคอยที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น ปูเป้แนะนำให้มาวันธรรมดาช่วงเย็นๆ มาชมพระอาทิตย์ตกดินโรแมนติกพร้อมวิวสวยๆ กันค่ะ

โมะโมะจิ ซีไซด์พาร์ค ฟุกุโอก(Momochi Seaside Park Fukuoka) มีดีไซน์ทันสมัย ออกแบบอาคารบรรยากาศรวมๆ เหมือนสไตล์หาดอิตาลี มีกลิ่นอายความเป็นยุโรปเหมาะแก่การมานั่งชิลล์รับแดด รับลมทะเล ด้านบนจะมีสวนสาธารณะให้นั่งเล่นล้อมรอบด้วยต้นสนร่มรื่น, ด้านล่างเป็นชายหาดริมทะเล, มีกลุ่มอาคารที่เป็นเกาะลอยยื่นไปในทะเลเรียกว่า มาริซอน (Marizon) ซึ่งจะใช้สำหรับการจัดการแต่งงาน หรืองานต่างๆ

ซื้อ บัตรเข้าชมฟุกุโอกะทาวเวอร์ (Fukuoka Tower) ตรงข้าม Momochi Seaside Park ในราคาพิเศษ คลิกที่นี่

ริมทะเลจะมีหาดทรายทอดยาวกว่า 1 กม. เหมาะมาเดินเล่นชายหาด ในช่วงฤดูร้อนคนญี่ปุ่นนิยมมาว่ายน้ำทะเลและเล่นวอลเล่ย์บอลชายหาดที่นี่ค่ะ บริเวณรอบๆ โมะโมะจิ ซีไซด์พาร์ค (Momochi Seaside Park Fukuoka) จะมีร้านค้า คาเฟ่ และร้านอาหารตกแต่งออกแนวเก๋ๆ สไตล์บีชๆ เน้นบรรยากาศให้นั่งรับลมทะเลเย็นๆ เน้นขายอาหารแบบทานง่ายๆ เช่น เบอร์เกอร์, เฟรนช์ฟรายส์, ทาโกะยากิ อร่อยรสชาติดีกว่าที่คิดเยอะเลยค่ะ

ถ้าอยากมานั่งส่องหนุ่มสาวที่เมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ผายมือมาที่ Momochi Seaside Park Fukuoka เลยค่ะ ที่นี่เป็นแหล่งรวมวัยรุ่น คู่รักหนุ่มสาวของทั้งคนเกาหลีและคนญี่ปุ่นงานดี ตอนที่ปูเป้ไปคนเกาหลีเยอะมากจนรู้สึกว่า เอ๊ะ!! นี่เราอยู่บนเกาะเชจูไหมนะ 5555 เอาเป็นว่ามาหาดเดียว ยิงปืนนัดเดียว ได้นกสองตัวเลยจ้า!!

ข้อมูลเพิ่มเติม
Website : https://www.fukuoka-now.com/en/places/momochi/
พิกัด : https://goo.gl/maps/Kbe8ahJCoj4YEEPC6

5. Nanzoin Temple (วัดนันโซอิน)

วัดนันโซอิน (Nanzoin Temple) เป็นวัดพุทธที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูงปกคลุมด้วยป่าเขาเขียวขจีทางตะวันออกของเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) เป็นหนึ่งในวัดที่มีความโด่งดัง และมีความสำคัญในเส้นทางการจาริกแสวงบุญ “Sasaguri Pilgrimage” ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในภาคเหนือของคิวชู วัดนี้เป็นหนึ่งในเส้นนทางการจาริกแสวงบุญเยี่ยมวัดพุทธ 88 แห่งตามเส้นทางระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตรที่ตั้งอยู่ในชนบทและภูเขาใกล้กับเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka)

จุดเด่นของวัดนันโซอิน (Nanzoin Temple) คือ พระนอนทองสัมฤทธิ์สีฟ้าอมเขียวมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก พอเห็นองค์พระนอนแล้วมีแต่คำว่า ว๊าว ว๊าว และว๊าวว!! พระนอนสวยอลังการมากกว่าที่ภาพที่เคยเห็นในรูปอีก พระนอนมีขนาดยาว 41 เมตร สูง 11 เมตร และน้ำหนักประมาณ 300 ตัน ซึ่งพระนอนทองสัมฤทธิ์สีฟ้ามีความงดงามอ่อนช้อยทั้งการออกแบบ สีหน้า โครงหน้าสง่างาม และเป็นปรางที่ไม่ค่อยพบเห็น เพราะพระพุทธรูปส่วนใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นจะเป็นปางนั่งสมาธิ วัดนี้จึงค่อนข้างแปลกตากว่าวัดอื่นๆ

จุดเด่นอีกอย่างของวัดนันโซอิน (Nanzoin Temple) คือ โด่งดังเรื่องสายมู โชคลาภ และถูกลอตเตอรี่ เนื่องจากเคยมีเจ้าอาวาสของวัดนันโซอิน (Nanzoin Temple) เคยถูกลอตเตอรี่หลังจากวางใบลอตเตอรี่ไว้ข้างรูปปั้นไดโกกุ หลังจากนั้นก็มีคนทำเลียนแบบกันเยอะแล้วก็ถูกลอตเตอรี่เรื่อยๆ งั้นก่อนไปวัดนี้ต้องเตรียมซื้อลอตเตอรี่ล่วงหน้าซะแล้วค่า

ภายในพระพุทธรูปนอนได้บรรจุอัฐิของพระพุทธเจ้า และสาวกของชาวพุทธสองคน คือ พระอานันทะ และพระโมคคัลลานะ ซึ่งเป็นโบราณวัตถุล้ำค่าที่พม่าได้มอบเป็นของขวัญเพื่อเป็นการขอบคุณสำหรับการบริจาคเวชภัณฑ์ต่างๆ

วิธีการขอพรพระนอนให้สัมฤทธิ์ผล คือ ให้เราจับเชือก 5 สีที่โยงจากมือของพระนอนแล้วอธิษฐานขอพร เพราะมีความเชื่อว่าจะทำให้เราได้รับพลังจากพระพุทธเจ้าผ่านเชือก 5 สี ซึ่งเชื่อว่าเชือก 5 สีนี้เป็นสัญลักษณ์เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้จะมีแสงออร่าเห็นเป็นแสง 5 สี

หลังจากไหว้พระขอพรเรียบร้อย แนะนำให้เดินไปชมลายฝ่าเท้าของพระนอน เรียกว่า “บุตโซขุ” (Bussoku หรือ Buddha’s Foot) ดีไซน์ลวดลายเหล่านี้เป็นหัวใจของคำสอนอันล้ำค่าศักดิ์สิทธิ์ และความเมตตากรุณาของพระพุทธเจ้า และยังใช้ในเรื่องของการอธิษฐานขอพรของศาสนาพุทธยุคแรกๆ ในอินเดีย

ก่อนกลับแนะนำให้เก็บภาพสวยๆ ของบรรดาใบไม้เปลี่ยนสีในวัดนันโซอิน (Nanzoin Temple) จะมีสีแสบตา ทั้งสีส้ม สีแดง สีเหลือง สีสันสวยงามมาก ถ่ายรูปกันเพลินๆ ค่ะ

ข้อมูลเพิ่มเติม
ค่าเข้า : ฟรี
คำแนะนำ : การเข้าวัดแนะนำให้ใส่ชุดสุภาพ งดเสื้อสายเดี่ยว หรือกระโปรงสั้น และอย่าส่งเสียงดัง
การเดินทาง : ใช้ JR Pass ลงสถานี Kido Nanzoin-mae Station แล้วเดินต่อ (ไม่สามารถใช้ Subway One Day Pass)
พิกัด : https://goo.gl/maps/qeT9QcV3KUSaiCzC6

6. Fukuoka Christmas Market 2022 หรือ Hakata Christmas Market (ตลาดคริสต์มาสฮากาตะ)

ญี่ปุ่นเป็นอีกหนึ่งประเทศที่อินน์กับเทศกาลคริสต์มาสมาก!! ถ้ามาเที่ยวฟุกุโอกะ (Fukuoka) ช่วงก่อนเทศกาลคริสต์มาสหรือชอบบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองประมาณกลางเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป แนะนำต้องมาเดินเที่ยว Fukuoka Christmas Market 2022 จะเป็นตลาดคริสต์มาสที่จัดได้ใหญ่สุดของเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ซึ่งปีนี้เป็นปีครบรอบ 10 ปีของเทศกาลฤดูหนาวในฮากาตะ ตลาดคริสต์มาสที่ฮากาตะจัดออกมาได้ดีมากอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข ทุกอย่างดูน่าตื่นตาตื่นใจ แถมอากาศกำลังเย็นสบายเหมาะมาจิบไวน์ร้อน จิบเบียร์ หรือแวะมาเดินเล่นค่ะ

Fukuoka Christmas Market 2022 งานจัดใหญ่จริงจังไม่แพ้กับตลาดคริสต์มาสในยุโรปเลยค่ะ หน้าสถานีรถไฟ JR Hakata Ekimae Hiroba จะมีต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่จัดประดับตกแต่งไฟระยิบระยับได้สวยงาม

ภายในงานมีบูธขายสินค้าที่เกี่ยวกับเทศกาลคริสต์มาส แก้วไวน์ งานเซรามิค ที่วางเทียน ของกระจุกกระจิกน่ารักๆ ไอเท็มเก๋ๆ ใช้ประดับตกแต่งงานเทศกาลคริสต์มาส และยังมีขายอาหารและเครื่องดื่มที่มีและไม่มีแอลกฮออล์ เบียร์ ช็อกโกแลตร้อน ไวน์ร้อน ชูโรส ไส้กรอก ขนมต่างๆ ฯลฯ

นอกจากนี้ยังมีการแสดงบนเวทีทั้งนักร้องมาขับกล่อมเพลงคริสต์มาสเพราะๆ มีการแสดงดนตรียิ่งสร้างบรรยากาศให้เป็นวันแห่งความสุขสันต์ มองไปทางไหนก็เห็นแต่รอยยิ้ม เห็นความสุขของผู้คนค่ะ

ข้อมูลเพิ่มเติม
เปิดทำการ : วันที่ 11 พ.ย.- 25 ธ.ค.2565 (วันธรรมดาเวลา 16.45 – 23.00 น. และวันเสาร์-อาทิตย์เปิดตั้งแต่ 12.00 – 23.00 น.)
พิกัด : https://goo.gl/maps/FaBUZu86iu4EigXY6

7. Tenjin Christmas Market (ตลาดคริสต์มาสเทนจิน)

ตลาดคริสต์มาสเทนจิน (Tenjin Christmas Market) เป็นอีกหนึ่งตลาดคริสต์มาสของเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) จะถูกประดับตกแต่งคริสต์มาสแบบดั้งเดิม บรรยากาศอบอวลไปด้วยความสุข ประดับประดาไฟได้สวยงาม จุดเด่นของตลาดคริสต์มาสเทนจิน Tenjin Christmas Market คือ มีตุ๊กตาซานต้าขนาดเท่าของจริงกว่า 100 ตัวยืนต้อนรับเราค่ะ มางานนี้จะเห็นคุณลุงซานต้าเยอะมาก แบบจุใจ มองไปทางไหนจะซ้าย ขวา บน ล่างก็จะเห็นรูปปั้นคุณลุงซานต้าละลานตาทั่วงานค่ะ

งานตลาดคริสต์มาสเทนจิน (Tenjin Christmas Market) จัดที่ City Hall Plaza in Tenjin หน้าตึกศาลาว่าการของเมืองเทนจิน ห่างจากสถานี Tenjin แค่ 5 นาที บรรยากาศของงานมีความสนุกสนาน วัยรุ่นเยอะ ตกแต่งเรียบง่าย ประดับประดาไฟโทนสีส้มๆ ยิ่งทำให้งานฟีลโฮมมี่อบอุ่นๆ ดูยิ่งน่าเดินค่ะ สำหรับการแสดงบนเวที และการจัดงานจะมีความเป็นบ้านๆ ง่ายๆ มากกว่า ตลาดคริสต์มาสที่ฮากาตะ (Hakata Christmas Market) ที่มีความเป็นพิธีการ และดูเป็นทางการมากกว่า คนที่มาดื่มกินก็จะเป็นพนักงานออฟฟิตมากกว่าค่ะ

นอกจากนี้ภายในงานตลาดคริสต์มาสเทนจิน (Tenjin Christmas Market) ยังมีบูธต่างๆ ที่จะเน้นขายอาหาร ขนม และเครื่องดื่มร้อนๆ ทั้งมีแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์มากกว่าของประดับตกแต่งในเทศกาลคริสต์มาส จะมีพื้นที่ให้สำหรับนั่งทานอาหาร และดูการแสดงบนเวทีขายของเกี่ยวกับเทศกาลคริสต์มาส มาแล้วจะสนุก ตื่นตาตื่นใจ ไม่ผิดหวังค่ะ

ข้อมูลเพิ่มเติม
เปิดทำการ : วันที่ 21 พ.ย.- 25 ธ.ค. 2565 (วันธรรมดาเวลา 17.00 – 22.00 น. และวันเสาร์-อาทิตย์เปิดตั้งแต่ 12.00 – 22.00 น.)
โทรศัพท์ : +81-92-947-7195
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/hSNf6pY1xGqTNhi56

8. Canal City Hakata (คาแนลซิตี้ฮากาตะ)

คาแนลซิตีฮากาตะ (Canal City Hakata) ชอปปิงมอลล์ขนาดใหญ่ของเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ประเทศญี่ปุ่น พิกัดนี้ปูเป้อยากแนะนำมาวันท้ายๆ ของทริปนะคะ จะได้มาชอปปิง และซื้อของฝากก่อนกลับค่ะ จุดเด่นของคาแนลซิตีฮากาตะ (Canal City Hakata) คือ เป็นศูนย์กลางค้าแบบเปิดโล่ง มีคลองไหลผ่านตรงกลาง มีลานกิจกรรมสำหรับจัดงานต่างๆ บรรยากาศช่วงเย็นจะมีประดับประดาด้วยไฟ และมีการแสดงโชว์น้ำพุ ถ้ามาจากสถานีรถไฟฮากาตะ (Hakata) และเท็นจิน (Tenjin) เดินมาแค่ 10-15 นาทีก็ถึงคาแนลซิตีฮากาตะ (Canal City Hakata) แล้วค่ะ

ภายในคาแนลซิตีฮากาตะ (Canal City Hakata) เป็นช้อปปิ้งมอลล์ขนาดใหญ่ที่ตอบโจทย์คนทุกเพศ ทุกวัย เต็มไปด้วยร้านค้าน่าเดินเล่นแน่นๆ เช่น
– เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า : ZARA, Arnold Palmer, GAP, UNIQLO, MUJI, ABC MART, Columbia, The North face, H&M
– ร้านขายสินค้าจากภาพยนตร์แอนิเมชั่นของสตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli) เต็มไปด้วยตุ๊กตา ข้าวของ เครื่องใช้ และของที่ระลึกน่ารักๆ
– ชั้นล่างจะมี Gundam Base Fukuoka เป็นร้านโมเดลกันดั้ม (Gundam) ขวัญใจของพี่ต้น พอเดินเข้าไปในร้าน เห็นแล้วขำอ่า55 ยิ้มแทบจะปากฉีกเหมือนปลุกความเป็นเด็กขึ้นมาเลยค่ะ , มีโชว์โมเดลรุ่นลิมิเต็ดเฉพาะในฟุกุโอกะ, มีห้อง Build Room พร้อมอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับประกอบกันพล่าที่ซื้อมาได้เลยจ้า
– ร้านขนม, คาเฟ่, ร้านอาหาร, ร้านราเมนดังรวม 8 ร้านที่ Ramen Stadium, เกมส์เซ็นเตอร์ และโรงภาพยนตร์

อ้อ!! ซื้อสินค้าในร้านของคาแนลซิตีฮากาตะ (Canal City Hakata)ที่มีสัญลักษณ์ Tax Free ณ ร้านค้าเดียวกันมีมูลค่าตั้งแต่ 5,000 เยนขึ้นไป สามารถนำใบเสร็จรับเงินและสินค้าที่ซื้อมาแสดงที่ Tax-Free Counter (GLOBAL TAX FREE) ชั้น 1 เพื่อมาทำเรื่องขอ Tax Refund ได้ค่ะ
ข้อมูล TAX FREE SHOPS : https://canalcity.co.jp/english/taxfree

ข้อมูลเพิ่มเติม
เปิดทำการ : ร้านค้า 10.00-21.00 น. / ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 11.00-23.00 น.
Website : https://canalcity.co.jp/english
พิกัด : https://goo.gl/maps/3pubik3xL6tv83u37

9. Ramen Stadium (ราเมนสเตเดี้ยม)

ราเมนสเตเดี้ยม (Ramen Stadium) ตั้งอยู่ที่ชั้น 5 ของคาแนลซิตีฮากาตะ (Canal City Hakata) นี่คือ สวรรค์ของคนรักราเมนค่ะ!! มาที่นี่ที่เดียวจะได้ชิมราเมนร้านดัง ร้านอร่อยรวม 8 ร้านมาจากฮากาตะ (Hakata), คุราเมะ (Kurume), โตเกียว (Tokyo), เกียวโต (Kyoto) และซัปโปโร (Sapporo)

มาถึงแล้วก็เลือกร้านราเมนที่อยากลองก่อนเลยค่ะ !! จากนั้นก็ไปสั่งอาหารที่ตู้หน้าร้านก่ที่เราเลือกแล้วนำตั๋วใบเล็กๆ ไปยื่นกับพนักงานในร้าน

ทริปนี้เราได้ลองราเมน 2 ร้านในราเมนสเตเดี้ยม (Ramen Stadium) ร้านแรกชื่อว่า โชได ฮิเดจัง ฮากาตะ (Shodai Hide-Chan (Hakata) เป็นราเมนสไตล์ฮากาตะ (Hakata) ที่ขึ้นชื่อเรื่อง “น้ำซุปทงคตสึ” กลิ่นหอมละมุนจากการเคี่ยวกระดูกหมู มีจุดเด่นอยู่ที่ หมูชาชูชิ้นโตที่หมักมาดี ชิ้นหั่นหนาเป็นพิเศษ รสชาติเข้มข้น เคี้ยวแล้วนุ่มเปื่อยแทบจะละลายในปาก และบะหมี่เส้นบางกว่าที่อื่นๆ ราคาราเมนเริ่มต้น 820+ เยนต่อชาม

จากนั้นมาต่อราเมนร้านที่ 2 ชื่อ Sapporo Ramen Daichi จะมีหมีดำตั้งอยู่หน้าร้าน เป็นราเมนซัปโปโร (Sapporo) มีจุดเด่นอยู่ที่ “มิโสะราเม็ง” ที่เป็นของขึ้นชื่อของฮอกไกโด ด้วยความเค็มของการหมักถั่วเหลือง ทานพร้อมกับข้าวโพดหวาน ๆ ตัดกับรสชาติน้ำซุปได้ดีเลย ชอบที่น้ำซุปรสชาติเข้มข้นชัดเจนมาก ซดเพลินๆ แบบอร่อยมาก เส้นบะหมี่มีความหนาระดับปานกลาง และชาชูรมควันที่นุ่มและละมุน ราคาราเมนเริ่มต้น 750+ เยนต่อชาม

ข้อมูลเพิ่มเติม
เปิดทำการ : ร้านค้า 10.00-21.00 น. / ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 11.00-23.00 น.
Website : https://canalcity.co.jp/english
พิกัด : https://goo.gl/maps/3pubik3xL6tv83u37

10. ซุ้มขายอาหารสไตล์ Yatai (ยาไต)

ช่วงค่ำๆ แนะนำให้มาเดินเล่นชมบรรยากาศ และมาลองทานอาหารที่ ซุ้มขายอาหารสไตล์ Yatai (ยาไต) กันค่ะ บริเวณนี้จะเรียกว่านากาสุ (Nakasu) เขตฮากาตะ (Hakata) ของฟุกุโอกะ (Fukuoka) มีจุดเด่นอยู่ที่ “ซุ้มขายอาหารสไตล์ Yatai (ยาไต)” ที่มีจำนวนมากที่สุดและมีชื่อเสียงมากที่สุดค่ะ

แนะนำให้ช่วงบ่ายมาเดินเล่นที่คาแนลซิตีฮากาตะ (Canal City Hakata) จนหนำใจแล้ว ช่วงเย็นแนะนำให้ลงมาชั้นล่างแล้วเดินออกประตูที่ติดกับร้าน Gundam Base Fukuoka ซึ่งทางออกนี้จะติดกับโรงแรม Grand Hyatt Fukuoka Hotel พอเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้ามก็จะเห็นซุ้มขายอาหารสไตล์ Yatai ตลอดทางเรียบแม่น้ำ เดินประมาณ 3 นาทีก็ถึงแล้วค่ะ

ซุ้มขายอาหารสไตล์ Yatai (ยาไต) เนื่องจากคำว่า ยาไต (Yatai) เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่า แผงลอย หรือซุ้มขายอาหารเล็กๆ มาตั้งบนฟุตบาทข้างทางติดริมแม่น้ำ มีลมพัดเย็นๆ แต่ละซุ้มขายอาหารจะนั่งได้ประมาณเกือบ 10 คน เน้นขายอาหารเฉพาะช่วงเย็น และจะเก็บร้านช่วงดึกค่ะ อาหารในแต่ละซุ้มขายอาหารสไตล์ Yatai (ยาไต) จะเป็นแบบทานง่ายๆ เช่น บาร์บีคิวปิ้งย่าง ราเมน โอเด้ง เกี๊ยวซ่า ยากิโซบะ และเครื่องดื่ม ปูเป้ว่าเหมือนแผงลอยที่เราคุ้นเคยดีเลยหล่ะ!! ฟีลขายอาหารสไตล์ Street Food เหมือนย่านเยาวราช และถนนข้าวสารค่ะ

วันที่เราไปส่วนใหญ่คนที่มานั่งในซุ้มขายอาหารสไตล์ Yatai (ยาไต) จะเป็นนักท่องเที่ยวเกาหลีมายืนต่อคิวหน้าร้านแบบล้นๆ เลย แต่ด้วยพวกเราอิ่มราเมนแบบแน่นๆ จาก Ramen Stadium (ราเมนสเตเดี้ยม) เลยไม่มีโอกาสได้ลิ้มลองอาหารท้องถิ่นของฟุกุโอกะ (Fukuoka) โอกาสหน้าต้องมาลอง และนั่งชิลล์กับบรรยากาศแบบนี้บ้างค่ะ

ข้อมูลเพิ่มเติม
พิกัด : https://goo.gl/maps/QEiQJLYLCqiDNADD6

11. Tempura Hirao Main Store (ฮิราโอะ เทมปุระ)

ฮิราโอะ เทมปุระ (Tempura Hirao) เทมปุระทอดกรุบกรอบร้อนๆ อร่อยจริงไม่จกตา!! แค่เดินลงรถก็ได้กลิ่นเทมปุระหอมๆ มาเตะจมูกซะแล้ว ยิ่งพอเห็นคนมาต่อคิวยาวๆ หน้าร้านก็รู้ว่าต้องอร่อยแน่ๆ คนเยอะแค่ไหนก็จะต้องรอค่ะ ร้านฮิราโอะ เทมปุระ (Tempura Hirao) มี 7 สาขาในเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ซึ่งเราไปทานสาขา Tempura Hirao Main Store จะเป็นสาขาที่ใกล้สนามบินฟุกุโอกะมากที่สุด หลังจากรับรถเช่าแถว Domestic Terminal ที่สนามบินฟุกุโอกะ ขับรถมาแค่ 3 นาทีก็ถึงร้านแล้วค่ะ (แม้ว่าจะใกล้สนามบินแต่ก็แนะนำให้ขับรถมา หรือนั่งแท็กซี่มานะคะ)

เรามาถึงร้านยังไม่เที่ยงก็มีคนมาต่อคิวทานมื้อกลางวันค่อนข้างแน่น แต่คิวค่อนข้างขยับไว รวมเวลาต่อคิวประมาณ 30 นาทีก็ได้ทานแล้วค่ะ หลังจากที่เราเข้าไปด้านในร้านจะมีตู้อัตโนมัติให้เลือกกดสั่งเมนูอาหาร แต่ละเมนูราคาประมาณ 220-270 บาท จากนั้นชำระเงินที่ตู้ และรับตั๋วใบเล็กๆ หลังจากนั้นจากยืนต่อคิวก็เปลี่ยนมานั่งรอคิวในร้านซึ่งจะขยับแถวไปเรื่อย พอเราไปอยู่ต้นแถวเราก็ได้โต๊ะ!! เวลาแห่งความอร่อยของเราก็มาแล้ว

ภายในร้านฮิราโอะ เทมปุระ (Tempura Hirao) จะตกแต่งแบบธรรมดาง่ายๆ บรรยากาศมีความโลคอล ร้านมีขนาดกลางจุคนได้ประมาณ 40-50 ที่นั่ง โต๊ะจะเป็นแบบเคาน์เตอร์โดยแบ่งเป็นแต่ละสเตชั่นย่อยๆ ซึ่งจะมีเชฟยืนทอดอยู่ตรงกลางของแต่ละเคาน์เตอร์คนญี่ปุ่นนิยมมาทานร้านนี้กันเยอะเลยค่ะ!! เป็นร้านสไตล์กินเร็ว เสร็จเร็ว ลุกเร็วไม่เหมาะมานั่งนานๆ เพราะมีคนนั่งกดดันอยู่ด้านหลังเราอีกเยอะค่ะ 555

พอนั่งลงปุ๊ปจะมีพนักงานมาเสิร์ฟข้าวเปล่า ซุปมิโซะ เครื่องเคียงที่เป็นปลาหมึกดองกลิ่นหอมของยูซุที่ทานได้ไม่อั้น และหัวไชเท้าขูดในซอสเทมปุระ หลังจากนั้นเชฟจะทอดเทมปุระร้อนๆ ทอดใหม่ทุกชิ้นแล้วคอยเดินเสิร์ฟให้ที่หน้าโต๊ะทีละชิ้นเรื่อยๆ จนครบเซตอาหารที่เราสั่ง เป็นอีกหนึ่งมิติของการเทมปุระที่เห็นเชฟมีความแอคทีฟในการเดินเสิร์ฟมาก ทานแล้วรู้สึกตื่นเต้น มีสีสัน และถ่ายรูปสนุกมากค่ะ

จริงๆ เราสองคนไม่ค่อยชอบทานเทมปุระเท่าไหร่คะ แต่หลังจากปูเป้และพี่ต้นได้ลองชิมฮิราโอะ เทมปุระ (Tempura Hirao) ก็เริ่มเปิดใจให้เทมปุระ ค่อยเข้าใจว่าการทอดเทมปุระให้อร่อยเนี่ย!! มันคือศาสตร์และศิลป์ในการทำและทอดเทมปุระเหมือนกันนะ

จุดเด่นของร้านนี้ คือ ทอดเทมปุระได้ดี กรอบมาก แป้งบางกริ๊บ ไม่มีการอมน้ำมันเลย เทมปุระที่เราชอบกันมาก คือ ฟักทองหวานอร่อย, ปลาหมึกกัดไปคำแรกคือว๊าว! เนื้อนุ๊มนุ่มแบบทำได้ยังไงเนี่ย, กุ้งยกให้เมนูที่ต้องสั่ง เนื้อกุ้งด้านในสุกกำลังดี กัดเข้าไปแล้วเนื้อฉ่ำๆ อร่อยมากกกจนอยากวิ่งไปที่ตู้สั่งอาหารกดเมนูนี้เพิ่มเลยค่ะ ฮิราโอะ เทมปุระ (Tempura Hirao) เป็นอีกหนึ่งร้านเทมปุระของเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ที่อร่อยและคุ้มค่ามากในราคาไม่ถึง 300 บาท

ข้อมูลเพิ่มเติม Tempura Hirao สาขา Main Store
โทรศัพท์ : +81 92-611-1666
Website : https://www.hirao-foods.net/shop/
พิกัด : https://goo.gl/maps/axMxHiK3d8iYtJjq9

12. Nagahamasengyo Market (ตลาดปลานางาฮามะ)

สายซูชิ สายซีฟู๊ด โปรดเร่เข้ามา!! ใครมาเที่ยว “ฟุกุโอกะ (Fukuoka)” เมืองที่อยู่ติดกับทะเล แล้วไม่ได้มาทานซูชิ ทานซีฟู๊ดอร่อยๆที่ “ตลาดปลานางาฮามะ (Nagahamasengyo Market)” ถือว่าพลาดของอร่อยค่ะ!!! “ตลาดปลานางาฮามะ (Nagahamasengyo Market)” เป็นตลาดขายส่งปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของฟุกุโอกะ (Fukuoka) เสมือนห้องครัวของชาวเมือง

ตลาดปลานางาฮามะ (Nagahamasengyo Market) จะเปิดสาธารณให้เข้าชมเพียง 1 ครั้งต่อเดือน ซึ่งคนที่สนใจ และนักท่องเที่ยวจะเดินเข้าไปในตลาดปลาจริงๆ ได้ แต่กรณีที่เราไม่ได้ไปตรงวันที่ตลาดปลาเปิดให้เข้าชม เราก็สามารถไปที่อาคารข้างๆ ตลาดปลาซึ่งอยู่ในตึกเหมือนอาคารสำนักงานไปทานซีฟู้ดกันได้ค่ะ แม้หน้าตาของตลาดปลาอาจจะดูแปลกตากว่าที่อื่นๆ แต่เรื่องคุณภาพของวัตถุดิบนั้นสูสีไม่แพ้ที่ฮอกไกโด หรือโอซาก้าเลยค่ะ

ชั้นบนของตลาดปลานางาฮามะ (Nagahamasengyo Market) จะมีจุดชมวิวสวยๆ เราสามารถขึ้นลิฟท์ไปด้านบนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งจะมีที่นั่งให้เราได้เห็นวิวมุมกว้างริมทะเลของเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka)

ส่วนชั้นล่างของตลาดปลาจะมีจะมีร้านอาหารซีฟู้ดสดมากและถูกมาก ให้เลือกประมาณ 7-8 ร้าน เท่าที่เดินสำรวจจะมีแต่คนญี่ปุ่นท้องถิ่นนิยมมาทานกันเยอะมาก เพราะด้วยความคุ้มค่า ราคาดี อาหารทะเลสดมากๆ หรืออยากจะซื้อกลับก็มีค่ะ

แต่ละร้านอาหารในตลาดปลา Nagahamasengyo Market จะมีโชว์ตัวอย่างเมนูอาหารภาษาญี่ปุ่นพร้อมราคาอยู่หน้าร้าน ช่วยให้เราได้เห็นหน้าตาของเมนู ความน่ากินของอาหารก่อนเข้าร้านค่ะ

ด้วยเรดาร์หาของกินของพี่ต้นเราเลือกร้านโอคิโย (O Kiyo Shokudō) ร้านนี้จะเห็นคนญี่ปุ่นนั่งทานเยอะกว่าร้านอื่นๆ อาหารทำสดใหม่จานต่อจาน มีหลายเมนูให้เลือกเยอะ และมีเมนูภาษาอังกฤษ เช่น ปลาหางเหลือง, ปลาแมคเคอเรคทอด, ไข่ปลาแซลมอน, ซาชิมิ-ซาชิมิย่าง, หม้อไฟ, ทูน่าย่างเกลือ, ปลาทูต้ม-ปลาทูคลุกงา, ซุปหอย, เทมปุระกุ้ง, เทมปุระปลาหมึก, ข้าวหน้าทะเลล้นๆ และอื่นๆ

พอเดินเข้ามาในร้านก็ตกแต่งแบบเรียบๆ บนผนังเต็มไปด้วยลายเซ็นต์ของคนดังใส่กรอบรูปเต็มไปหมด แบบนี้น่าจะเลือกร้านอร่อยแน่ๆ มาลุ้นกันค่ะ !!!

เราสั่งมา 3 เมนู Bonito Sashimi Set : เซตซาชิมิปลาประจำวัน (ขวาบน), Special Seafood : ซีฟู้ดหน้าล้นพิเศษ (ล่างซ้าย), Seafood Bowl : ซีฟู้ดหน้าแน่นเต็มชาม (ล่างขวา) ในเซทจะมาพร้อมกับซุปมิโซะและผักดอง คำแรกที่ตัก “อูนิกับหอยเซลล์โฮตาเตะ” เข้าปากพร้อมกัน โอ๊ยๆๆ ละลายในปากแบบฟินเว่อร์ อร่อยแบบอยากทานซ้ำอีกคำเลยค่ะ ชอบที่ข้าวด้านล่าจะเป็นที่ใส่ซีอิ้วปรุงรสไว้ด้านล่าง พอคลุกเคล้ากันแล้วจะทำให้ข้าวมีรสชาติออกเค็มนิดๆ ยิ่งเสริมรสให้อร่อยมากกก!! รวม 3 เมนูราคาแล้วแค่ 4,050 เยน คุ้มสุดๆๆ พูดแล้วก็อยากทานอีกค่า

เราสองคนไปตลาดปลามาหลายที่แล้วค่ะ แต่พอได้ลองร้าน โอคิโย (O Kiyo Shokudō) อาหารทะเลสดมากแทบจะละลายในปาก วัตถุดิบดีจริง เชฟมีกรรมวิธีทำอาหารได้เก่งมาก อร่อยแบบประทับใจมากๆ จนอยากลุกขึ้นมาปรบมือเลยค่ะ แนะนำให้มาตลาดปลาช่วงเช้านะคะ เพราะหลังจากที่เราออกจากร้านคนยืนต่อคิวแน่นมากๆ และวัตถุดิบดีก็จะหมดไวค่ะ

ข้อมูลเพิ่มเติม
เปิดทำการ : เวลา 09:00 – 17:00 น.
การเดินทาง : สถานีรถไฟใต้ดิน Akasaka เดินต่อประมาณ 750 เมตร
โทรศัพท์ : +81 92-711-6412
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/J8rKTKhG6xEFGksx8

13. Chikae Fukuoka

Chikae Fukuoka ร้านอาหารไคเซกิที่เก่าแก่ และชื่อดังของเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) เปิดตั้งแต่ปี 1961 ดำเนินการมาแล้วประมาณ 60 กว่าปีกว่า เป็นร้านที่มีความโด่งดังเรื่องของการทำอาหารที่มีความประณีต และรสชาติดั้งเดิมของญี่ปุ่น

พอเดินเข้ามาในร้าน Chikae Fukuoka จะเห็นความโอ่อ่าของร้านเหมือนบ้านญี่ปุ่นที่มีความโบราณและคลาสสิก บรรยากาศของร้านตกแต่งได้สวย ผสมความโลคอลและมีไฮไซหรูแบบภัตตาคาร พนักงานจะใส่สูท และชุดกิโมโนให้การดูแลและต้อนรับ จะมีโซนห้องพิเศษส่วนตัวสไตล์ญี่ปุ่นตกแต่งดีๆ อารมณ์ฟีลนัดไปดูตัวแบบในซีรี่ย์เกาหลีด้วยนะ 555

โซนที่นั่งชั้น 1 จะจุได้ประมาณ 150 คน แบ่งเป็น 2 โซน คือ โต๊ะญี่ปุ่นปูด้วยเสื่อทาทามิติดริมกระจก และอีกโซนจะเป็นโต๊ะเคาน์เตอร์ตัวยูล้อมรอบด้วยตู้ปลาตรงกลาง เราจะเห็นปลาว่ายไปมาอยู่กลางร้าน โดยมีเชฟฝีมือพิถีพิถันอยู่ด้านในกำลังแล่ปลาด้วยเทคนิคพิเศษแล้วเสิร์ฟทันทีเพื่อให้ได้รสชาติที่สดใหม่ๆ จากทะเล (ดูเหมือนโหดเนอะ!! แต่ก็เข้าใจว่าทางร้านอยากโชว์ความสดๆ ของปลา)

จุดเด่นของ Chikae Fukuoka คือ เมนูชุดอาหารกลางวัน (Lunch set) จัดมาแบบอลังการสุดๆ ในราคาเซตละ 1,980 เยน (500 บาทนิดๆ) ซึ่งมีจำนวนจำกัดแค่ 200 เซต/วัน เมนูชุดอาหารกลางวัน Lunch Set ของร้าน Chikae Fukuoka ประกอบด้วย ซาซิมิปลาสดๆ, เทมปุระทั้งกุ้ง ปลา และผักทอด, ลูกชิ้นปลา, ไข่ตุ๋น, ข้าว พร้อมด้วยเครื่องเคียงต่างๆ และไฮไลต์ คือ มีการเสิร์ฟไข่เมนไทโกะให้ทานแบบไม่อั้น (ไข่ปลาคอดรสเผ็ดนิดๆ) ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของฟุกุโอะกะ จะทานแบบคลุกข้าวก็อร่อยมาก แถมยังมีซุปปูให้ชามโตด้วย คุ้มมากก!

ถ้าอยากทานของหวานปิดท้ายจะเป็นราคาเซตละ 2,280 เยน ถือว่าเป็น การทานอาหารไคเซกิที่ตื่นตาตื่นใจ อาหารอร่อย บรรยากาศดี และคุ้มค่ามากค่ะ แนะนำให้มาถึงก่อนร้านเปิดประมาณ 10-15 นาที พอร้านเปิดคนมายืนรอต่อแถวยาวมากกกค่ะ

ข้อมูลเพิ่มเติม
เปิดทำการ : ทุกวันเวลา 11:30 น. – 22:00 น. (มื้อกลางวัน: 11:30 – 15:00 น.)
โทรศัพท์ : +81 92-721-4624
เดินทาง : ลงสถานีรถไฟใต้ดิน Akasaka แล้วเดินมาที่ร้านประมาณ 4 นาที ระยะทาง 350 เมตร
Website : https://chikae.co.jp/
พิกัด : https://goo.gl/maps/XQg7ZZ9fsXLLMHuz6

10 พิกัดเที่ยวในเที่ยว Yufuin (ยุฟุอิน) : เมืองสุดคิ้วท์ ที่คุณจะหลงเลิฟ!!

อ่านรีวิวตัวเต็มที่ : รวม 10 พิกัดเที่ยวในยุฟุอิน (Yufuin)

ยูฟุอิน (Yufuin) เป็นเมืองเล็กๆ น่ารักที่โอบล้อมด้วยธรรมชาติของจังหวัดโออิตะ (Oita) และยังเป็นเมืองออนเซ็นชื่อดังที่มีภูเขาฟุดาเกะเป็นฉากหลังของเมือง ครั้งแรกที่ปูเป้และพี่ต้นเห็นภาพเมืองยุฟุอิน (Yufuin) กับวิวใบไม้เปลี่ยนสีมีหมอกลอยฟุ้งๆ บรรยากาศอุ่นๆ เหมือนภาพวาดสวยมากกจนอยากมาเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้งเลยค่ะ!!

การมาเที่ยว ยูฟุอิน (Yufuin) แบบ One Day Trip จากฟุกุโอกะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง สามารถนั่งรถไฟสีเขียวสุดฮิต “Yufuin no Mori” (สาย Yufu) จากสถานี Hakata ของเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) มาลงที่สถานี Yufuin หรือสำหรับคนชอบชิลล์ๆ อยากดื่มด่ำบรรยากาศตอนเช้า คนโล่งๆ ก็จะมานอนค้างคืน แช่ออนเซ็นสักคืนก็ดีงามค่ะ

มาที่ยูฟุอิน (Yufuin) จะได้สัมผัสทั้งธรรมชาติ, บรรยากาศญี่ปุ่นแบบชนบท, มุมถ่ายรูปสวย, ของกินอร่อย และสองข้างทางยังมีร้านรวงน่ารักๆ ชวนให้แวะช้อปปิ้งอีก เดินเล่นเพลินเลยค่ะ ทั้งที่เที่ยว ที่กิน มุมถ่ายรูป คาเฟ่ จุดชมวิวปังๆ สินค้าชอปปิ้ง ฯลฯ มาฝากค่ะ

3 พิกัดเที่ยวใน Beppu (เบปปุ) :
เมืองออนเซ็นริมทะเลของเกาะคิวชู

เบปปุ (ฺBeppu) เมืองเล็กๆ ริมทะเลของจังหวัดโออิตะ (Oita) ตั้งอยู่ชายฝั่งทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองฟุกุโอกะ บนเกาะคิวชูประเทศญี่ปุ่น เบปปุ (ฺBeppu) เป็นเมืองท่องเที่ยวแช่น้ำพุร้อนยอดนิยมของญี่ปุ่น คนชื่นชอบการแช่ออนเซ็นอุ่นๆ ชมธรรมชาติสวยๆ หรือเห็นวิวทะเลต้องเลิฟเมืองนี้แน่ๆค่ะ

หลังจากที่เราได้มาสัมผัสเมืองเบปปุ (ฺBeppu) 2 คืน บอกเลยว่า เบปปุ (ฺBeppu) ไม่ใช่เป็นเมืองที่มีแค่บ่อน้ำพุร้อน 8 บ่อที่นักท่องเที่ยวชอบแวะไปถ่ายรูปกัน เบปปุ (ฺBeppu) เป็นเมืองที่ให้ความรู้สึกอยากหนีความวุ่นวายแล้วมาใช้ชีวิตแบบสโลฟ์ไลฟ์ที่นี่ แบบมาปรนเปรอตัวเองทั้งแช่ออนเซ็น ได้ทานซีฟู้ด อาหารอร่อยๆ ช่วงเช้าเห็นไอน้ำธาตุน้ำแร่พวยพุ่งขึ้นมาบนดินจนรู้สึกเหมือนเมืองในหมอกเลยทีเดียว ไฮไลต์และความได้เปรียบของเมืองนี้ คือ มีน้ำแร่ไหลทั่วเมือง มีเรียวกัง สปารีสอร์ที่มีออนเซ็นให้แช่ และออนเซ็นสปา (Onsen Day Spa) สาธารณะที่ไม่มีที่พักดีๆ เต็มเมืองไปหมด

1. Aso-Kuju National Park Sagiridai Overlook

หลังจากเที่ยวยูฟุอิน (Yufuin) จนหนำใจแล้ว เราก็ไปเที่ยวต่อกันที่เบบปุ (ฺBeppu) แนะนำให้ขับมาเบบปุ (ฺBeppu) ในเส้นทางธรรมดานะคะ (ไม่ต้องขึ้นทางด่วน) เส้นนี้เราจะผ่านจุดชมวิว Aso-Kuju National Park Sagiridai Overlook เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่น่าเช็คอินระหว่างทาง จากจุดชมวิวมองลงไปจะเห็นหมู่บ้านเรียงรายอยู่เบื้องล่างท่ามกลางใบไม้เปลี่ยนสีของหุบเขาที่ขนานกัน เรียกได้ว่าเป็นภาพฉากที่ทำให้นึกถึงซีนในหนังและการ์ตูนญี่ปุ่นหลายเรื่องเลย (หนึ่งในนั้นคือ Your Name แหละ!)

นอกจากวิวของหมู่บ้านแล้ว เราจะได้เห็นเส้นของท้องถนนขึ้นภูเขาที่คดเคี้ยวเป็นโค้งปราณีตอย่างสวยงามอีกด้วย วิวระหว่างทางที่สวยมากกกก! รับรองว่าทุกคนจะได้รูปสวยงามให้คิดถึงถนนเส้นนี้แน่นอนค่ะ

แม้วันที่เราไปอากาศค่อนข้างครึ้มเล็กน้อย แต่ก็มีเสน่ห์ที่น่าค้นหา ลุ่มลึก และดุดันอีกแบบเลยค่ะ

ข้อมูลเพิ่มเติม
พิกัด : https://goo.gl/maps/6Rtkc7RunN5mYsGSA

2. Yakiniku King (ยากินิคุคิงส์)

Yakiniku King (ยากินิคุคิงส์) เป็นหนึ่งในบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างเนื้อ และหมูที่คุ้มมาก อร่อยมาก เป็นมื้อที่เราจัดหนักอีกมื้อในทริปนี้เลยค่ะ สายเนื้อหรือสายหมูต้องเลิฟร้านนี้แน่นอน!! ขนาดคนที่อยู่เบปปุ (ฺBeppu) ยังแนะนำต้องมาร้าน Yakiniku King (ยากินิคุคิงส์) !!

ร้านนี้แนะนำให้ไปก่อนเวลาแล้วไปจองคิวไว้ก่อนค่ะ เพราะคิวที่ร้าน Yakiniku King (ยากินิคุคิงส์) ยาวมากกกก พอได้เวลาจองแล้วพนักงานที่พูดภาษาอังกฤษได้ก็จะแนะนำเซตแต่ละเมนูให้เลือก บุฟเฟ่ต์จะมี 3 ราคา ซึ่ง เราเลือกเซต 58 เมนู กินได้ไม่อั้น 100 นาที! ราคา 2,680 เยน ( ราคารวมภาษี 2,948 เยน) แล้วจ่ายเพิ่มเครื่องดื่มบุฟเฟ่ต์อีก 429 เยน บรรดาวัตถุดิบพรีเมี่ยมโดยเฉพาะเนื้อหมู เนื้อวัว กระบวนการปรุงวัตถุในเตรียมเนื้อดีมาก พนักงานบริการดี และรวดเร็ว

รายการอาหารสามารถกดสั่งจาก iPad ที่โต๊ะได้เลย อาหารคาวดี ของหวานก็ใช้ได้มีทั้งไอศกรีม พุดดิ้ง สั่งเพลินๆ อร่อยทุกเมนูค่ะ สำหรับราคาจัดว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับวัตถุดิบที่ไปไดั กินที่เมืองไทยยังไงก็แพงกว่านี้ค่ะ

ข้อมูลเพิ่มเติม
เปิดทำการ : ทุกวัน (วันธรรมดาเวลา 17:00 – 23:00 น. และวันเสาร์-อาทิตย์เวลา 11:00 – 23:00 น.)
โทรศัพท์ : +81-97-727-2900
Website : https://www.yakiniku-king.jp/
พิกัด : https://goo.gl/maps/mq9tjpYevubnwSKJ6

3. Hyotan Spa (เฮียวตันออนเซ็น)

มาถึงเบปปุ (Beppu) เมืองที่มีชื่อเสียงในด้านบ่อน้ำพุร้อน หรือออนเซ็นในประเทศญี่ปุ่น จะไม่ลองแช่ออนเซ็นก็คงไม่ได้ ปูเป้ก็อยากมาลองค่ะ ว่าฟีลการแช่ออนเซ็นที่เบปปุจะต่างจากที่อื่นไหมนะะ!! ถ้าอยากเปิดประสบการณ์ออนเซ็นสาธารณะครั้งแรกที่เบปปุ (Beppu) ควรเริ่มต้นที่ Hyotan Spa (เฮียวตันออนเซ็น) ที่นี่คือออนเซ็น (น้ำพุร้อน) แห่งเดียวเท่านั้นที่ได้รับการการันตีได้รับมิชลิน 3 ดาวจ้า

เฮียวตันออนเซ็น (Hyotan Spa) ก่อตั้งมานานกว่า 100 ปี เปิดให้บริการเฉพาะออนเซ็นแบบไม่ค้างคืน ซึ่งพอเราเดินเข้าไปก็ประทับใจกับการจัดการ ทุกอย่างอยู่ในสภาพดี สะอาด และได้รีโนเวทให้มีความโมเดิร์นทั้งห้องอาบน้ำก่อนแช่ออนเซ็น ห้องน้ำ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า มีห้องออนเซ็นแยกฝั่งหญิง-ชาย, ออนเซ็นสำหรับครอบครัว, ออนเซ็นกลางแจ้งพร้อมวิว, ออนเซ็นในร่มมีให้เลือกแช่หลายบ่อ, ออนเซ็นน้ำตก, บางบ่อก็ยังเป็นบ่อดั้งเดิมตั้งแต่สมัยโบราณเลยทีเดียว นอกจากนี้ห้องอบไอน้ำ อ่างอบทรายร้อน ตอนที่เราปูเป้กับพี่ต้นรู้สึกที่นี่คือ หนึ่งในกิจกรรมของครอบครัวที่จะเห็นพ่อ แม่ ลูกๆ ของคนญี่ปุ่นถือตะกร้าพลาสติกใส่อุปกรณ์อาบน้ำ เตรียมผ้าขนหนูมาแช่กันอย่างจริงจัง

จุดเด่นของที่นี่ คือ จะเป็นน้ำออนเซ็นบริสุทธิ์ 100% ที่ไหลมาจากแหล่งธรรมชาติ แล้วทำให้น้ำพุร้อนเย็นลงด้วยอุปกรณ์ที่ทำจากไม้ไผ่ “ยูเมะทะเกะ” ซึ่งทำให้สามารถรักษาสัมผัสที่นุ่มนวลของน้ำไว้ได้ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีและเอกลักษณ์ของเฮียวตันออนเซ็น (Hyotan Spa) โดยที่ออนเซ็นบางสถานที่จะใช้วิธีปรับอุณภูมิโดยผสมด้วยน้ำประปา หรือใช้วิธีการหล่อเย็นทำให้น้ำเย็นลง

อีกหนึ่งจุดเด่นของที่ เฮียวตันออนเซ็น (Hyotan Spa) คือ มีอ่างอบทรายร้อน (Sand bath) ที่ได้รับอิทธิพลจากภูเขาไฟ จะมีบ่อทรายอบทรายร้อนที่มีอุณหภูมิร้อนปานกลางและร้อนมาก โดยเราจะขุดทรายให้เป็นหลุมแล้วเอาตัวเองไปอบอยู่ในทรายทั้งตัวประมาณ 10-20 นาที แล้วไปแช่ออนเซ็นต่อยิ่งทำให้เลิอดไหลเวียนดี ช่วยบำรุงผิวพรรณ ช่วยให้เลือดลมเดินดี

หลังจากพอแช่ทรายแล้วไปแช่ออนเซ็น รู้สึกว่าช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยได้ดี ผิวกายนุ่มลื่นขึ้น ชอบฟีลลิ่งที่แช่ออนเซ็นกลางแจ้งตอนอากาศเย็นๆ มันฟินมากกค่ะ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ชอบกันทุกคนค่ะ

ข้อมูลเพิ่มเติม
เปิดทำการ : ทุกวัน เวลา 09:00 – ตี 1
โทรศัพท์ : +81-97-766-0527
พิกัด : https://goo.gl/maps/DyqSe5NM9Awxzhqa7
อ้างอิงรูปภาพจาก Website เนื่องจากด้านในออนเซ็นไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป

2 พิกัดเที่ยวใน Oita (โออิตะ) : เมืองอันดับ 1 เรื่องบ่อน้ำพุร้อนมากที่สุดในญี่ปุ่น

โออิตะ (Oita) เป็นเมืองหลวงของจังหวัดโออิตะ จังหวัดเล็กๆ บนเกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ทางตะวันออกของเกาะคิวชู เป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงเรื่องบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติมากที่สุดในญี่ปุ่น ทั้งเบปปุ (Beppu) และยูฟุอิน (Yufuin) อีกทั้งยังมีโคโคโนเอะ (Kokonoe) ซึ่งเป็นเมืองเต็มไปด้วยเสน่ห์ของภูเขาธรรมชาติ เราสามารถนั่งรถไฟจากเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ไปโออิตะ (Oita) ประมาณ 2 ชั่วโมง และจากตัวเมืองเบปปุ (Beppu) ไปโออิตะ (Oita) ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 20 กว่านาที

1. Mamedamachi (มาเมะดะมาจิ)

พอมาถึงที่ชุมชนโบราณมาเมะดะมาจิ (Mamedamachi) รู้สึกว่าเหมือนเดินเล่นอยู่ในเกียวโตเลยค่ะ!! ชุมชนโบราณมาเมะดะมาจิ (Mamedamachi) มีมาตั้งแต่สมัยยุคเอโดะอายุกว่า 400 ปี ตั้งอยู่ที่เมืองฮิตะ (Hita) จังหวัดโออิตะ(Oita) บ้านเรือนสองข้างทางเป็นทรงโบราณ สวย คลาสสิก มีกลิ่นอายเกียวโตมากๆ สมแล้วที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “เกียวโตน้อยแห่งเกาะคิวชู (Little Kyoto in Kyushu)” ชุมชนโบราณมาเมะดะมาจิ (Mamedamachi) ห่างจากเมืองยูฟุอินประมาณ 45 นาทีโดยรถยนต์ หรือนั่งรถไฟมาลงที่สถานี Hita Station แล้วเดินต่อประมาณ 10 นาที

ปัจจุบันกลุ่มอาคารประวัติศาสตร์และผังเมืองของชุมชนโบราณมาเมะดะมาจิ (Mamedamachi) ถนนสองข้างทางยังคงเหมือนเดิม เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่แนะนำมาถ่ายรูปกันค่ะ บริเวณนี้จะมีร้านค้าย้อนยุคมากมาย ทั้งร้านขายยาจากสมัยเอโดะ, ร้านขายงานไม้ไผ่สาน, ร้านขายขนมถั่วแดงกวนต้นตำรับ (Youkan), ร้านขายสาเกเก่าแก่, ร้านรองเท้าเกี๊ยะไม้ซึ่งเป็นสินค้าหัตถกรรมพื้นเมืองที่มีชื่อเสียง, ร้านอาหาร และคาเฟ่แนวเรโทร แต่เสียดายเรามาถึงที่เย็นไปหน่อย พอเดินเล่นถ่ายรูปเสร็จแล้วจะแวะเข้าร้านอาหารและคาเฟ่ ร้านค้าก็เริ่มทยอยปิดร้านเวลา 17:00 น. โอกาสหน้าอยากแวะมาทานไอศกรีมสาเกมากๆค่ะ

ข้อมูลเพิ่มเติม
เปิดทำการ : ร้านค้าจะปิดเวลาประมาณ 17:00 น.
พิกัด : https://goo.gl/maps/AvbZYeb3SjLtp7ecA

2. สะพานแขวน Kokonoe Yume Otsuribashi

สะพานแขวน Kokonoe Yume Otsuribashi ตั้งอยู่ที่เมืองโคโคโนเอะ (Kokonoe) จังหวะโออิตะ (Oita) สะพานแขวนแห่งนี้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสะพานแขวนคนเดินระหว่างหุบที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น โดยการันตีได้จากระยะความสูงถึง 173 เมตรเลยทีเดียว ด้วยความสูงในระดับที่ทำให้เราอยู่ท่ามกลางหุบเขาอย่างพอดิบพอดี ทำให้ตัวเรารายล้อมไปด้วยทิวทัศน์ของธรรมชาติทั่วสารทิศ เหมือนโอบอุ้มจากกลุ่มใบไม้หลากสี สายธารของน้ำตก เสียงของเหล่าบรรดานกทั้งหลาย เรียกได้ว่าเป็นสะพานแขวนช่วยให้ใจสงบมากเลยค่ะ

หากเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย ขอบอกว่าคุณสามารถตัดความกังวลเรื่องนี้ออกไปได้เลยเพราะบนสะพานแขวนจะมีเจ้าหน้าที่คอยเดินตรวจเดินเช็คความปลอดภัยอยู่ตลอดค่ะ แอบกระซิบว่าเจ้าหน้าที่อัธยาศัยดีมากกก ยิ้มแย้มและคอยทักทายผู้คนตลอดทางเลยค่ะ

ข้อมูลเพิ่มเติม
เปิดทำการ : 08:30 – 17:00 น.
ค่าเข้า : 1,500 เยน
โทรศัพท์ : +81 973-73-3800
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/hiPfLeP7pRuEvcpv6

11 พิกัดเที่ยว Kumamoto : เมืองแห่งภูเขาไฟ วิวสวยปัง อลังการ

อ่านรีวิวตัวเต็ม คุมะโมะโตะ (Kumamoto)