เราเชื่อว่ามีหลายคนที่อยากลองขับรถเที่ยวญี่ปุ่นดูสักครั้ง!! เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีทัศนียภาพสวยงามไม่แพ้ใคร ด้วยภูมิประเทศที่เป็นหมู่เกาะ ซึ่งเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟตั้งแต่โบราณ ทำให้มีภูเขาน้อยใหญ่และทะเลสาบสวยๆ กระจายตัวอยู่ทั่วทุกภูมิภาค การขับรถเที่ยวจึงทำให้เราเข้าถึงทิวทัศน์และสถานที่ท่องเที่ยว Unseen ทั่วญี่ปุ่น ได้มากกว่าที่เคย!!

รีวิวที่เกี่ยวข้อง :

ทริปนี้ต้นกับปูเป้จะพาทุกคนร่วม Road Trip ตะลุยเที่ยวภูมิภาค “คิวชู (Kyushu)” เพื่อชมทัศนียภาพที่หลากหลาย ทั้งภูเขา น้ำตก ทะเลสาบ รวมถึงตลาดปลา วัด และเมืองท่าเก่าแก่ ท่ามกลางบรรยากาศช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี (Autumn) ที่อากาศกำลังเย็นสบาย (ราวๆ 6-13 องศา) และเป็นช่วงเวลาที่ “คิวชู (Kyushu)” มีเสน่ห์น่าขับรถเที่ยวเป็นที่สุด!!

ทริปนี้เราเดินทางกันทั้งหมด 3 คน ใช้เวลาเที่ยวทั้งสิ้น 6 วัน 5 คืน รวม 25 พิกัด ด้วยงบประมาณราวๆ 3 หมื่นบาทต่อคน (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน) ใครสนใจอยากขับรถเที่ยว “คิวชู (Kyushu)” อ่านบทความนี้ให้จบครับ เราจะแนะนำตั้งแต่วิธีการเช่ารถ การทำประกันภัยการเดินทาง การขึ้นทางด่วน เติมน้ำมัน ฯลฯ นอกจากนี้ยังแถมพิกัดเที่ยว Unseen “คิวชู (Kyushu)” รวมถึงร้านอร่อย ให้คุณเป็นไอเดียในการแพลนทริปของตัวเองได้เลยครับผม!!

บินตรงสู่ฟุกุโอกะกับแอร์เอเชีย

ทริปนี้พวกเราบินตรงจาก กรุงเทพฯ (ดอนเมือง) ไปลง ฟุกุโอกะ(Fukuoka) กับ สายการบินไทยแอร์เอเชีย (AirAsia) เช่นเคย (เลิฟๆ) ใช้เวลาบิน 5 ชั่วโมงนิดๆ ไปลงที่สนามบินฟุกุโอกะ (Fukuoka Airport) เมืองที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะคิวชู ไฟล์ทบินมีทุกวัน เวลาบินดี ออกดึกถึงเช้า เที่ยวต่อได้เลย บินเซฟๆ ตรงเวลา ราคาก็น่าร๊ากก! สบายกระเป๋า

รายละเอียดตารางบิน : กรุงเทพฯ ดอนเมือง (DMK) – ฟุกุโอกะ ญี่ปุ่น (FUK)

  • ไฟลท์ขาไป (FD736)  : 00:05 (DMK) – 07:05 (FUK)
  • ไฟลท์ขากลับ (FD737) : 10:00 (FUK) – 13:45 (DMK)

สำหรับ “แอร์เอเชีย (AirAsia)” แม้จะเป็น Low-cost airlines แต่ตารางบินดี เซฟเวลาเที่ยวได้มาก ที่สำคัญคือ “ตรงเวลา” ดีสุดๆ ซึ่งล่าสุดเดือนมิถุนายน 2566 แอร์เอเชีย และแอร์เอเชียเอ็กซ์ คว้าแชมป์ “รางวัลสายการบินราคาประหยัดที่ดีที่สุดในเอเชีย ปี 2566” ซึ่งประกาศรางวัลสายการบินยอดเยี่ยมประจำปีโดย AirlineRatings.com

อย่าลืมเลือก “แพ็คสุดคุ้ม” ได้ครบทั้ง…

  • น้ำหนักโหลดกระเป๋า 20 กก.
  • เลือกที่นั่งติดกันได้เลย
  • เสิร์ฟอาหารร้อน เครื่องดื่มระหว่างบิน
  • กดจองตั๋วได้เลย www.airasia.com

ทำความรู้จัก “คิวชู (Kyushu)” กันสักนิด

คิวชู (Kyushu) เป็นเกาะขนาดใหญ่อันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ มีความโดดเด่นเรื่องความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ วิวสวย ภูเขางาม ออนเซ็นดัง ติดทะเล ซีฟู้ดสด ราเมนอร่อย ผลไม้หวานฉ่ำ ภูมิภาคคิวชูประกอบด้วย 7 จังหวัด คือ จังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka), จังหวัดซะกะ (Saga), จังหวัดโออิตะ (Oita), จังหวัดนางาซากิ (Nagasaki), จังหวัดคุมะโมโตะ (Kumamoto), จังหวัดมิยะซะกิ (Miyazaki) และจังหวัดคะโงะชิมะ (Kagoshima)

เส้นทางขับรถเที่ยว (Driving Route)

สำหรับคนที่เพิ่งมาเที่ยวคิวชูเป็นครั้งแรก เส้นทางขับรถเที่ยว (Driving Route) ของเราจะเริ่มต้นจาก “สนามบินฟุกุโอกะ (Fukuoka Airport) ฝั่ง Domestic” โดยเราจะไปรับรถเช่าที่นั่น จากนั้นเส้นทางขับรถเราจะเป็นดังนี้ ฟุกุโอกะ (Fukuoka) –> ยูฟุอิน (Yufuin) –> โออิตะ (Oita) -> คุมาโมโต้ (Kumamoto) -> มิยาซากิ (Miyazaki) -> Kitakyushu (คิตะคิวชู) แล้ววนกลับมาปิดท้ายที่ฟุกุโอกะ (Fukuoka)

เส้นทางนี้วิวสวย ได้เห็นธรรมชาติแบบฉ่ำๆ ตา ทั้งภูเขา ต้นไม้ น้ำตก ทะเลสาบ ถนนระหว่างเมืองดีมาก มีทางด่วนตัดผ่านเป็นระยะ มีจุดจอดแวะพักรถให้ได้เข้าห้องน้ำ มีร้านสะดวกซื้อ คาเฟ่ ร้านอาหาร ร้านขายของฝาก ตู้กดเครื่องดื่ม ลองได้แวะสักครั้งแล้วจะติดใจ แวะมันทุกจุด 5555

อีกหนึ่งความสุขของการขับรถเที่ยว คือ การได้จอดถ่ายวิวนี่แหล่ะ เจอมุมไหนสวยปุ๊บ รีบมองหาที่จอดปั๊บ ยิ่งไปช่วงใบไม้เปลี่ยนสี (Autumn) ปลายเดือน พ.ย. – ต้น ธ.ค. ยิ่งตะการตา เพราะมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะมาก!! แต่ที่จะต้องแลกมาก็คือช่วงกลางวันที่สั้นกว่าปกติมากๆ พระอาทิตย์ขึ้นช้า-ตกเร็ว ท้องฟ้าตอน 5 โมงเย็นแต่มืดอย่างกับ 1 ทุ่ม!! ทำให้เที่ยวได้วันละไม่กี่ที่

ใครอยากขับรถเที่ยวแบบคุ้มๆ แนะนำช่วง เม.ย. – ก.ย. ซึ่งก็จะได้ทัศนียภาพในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ซึ่งก็สวยแปลกตาไปอีกแบบนึง ส่วนช่วงเดือน ม.ค. – มี.ค. จะเป็นฤดูหนาว ซึ่งมีหิมะ การขับเที่ยวจะ “ค่อนข้างยากสำหรับคนที่ไม่ชำนาญการขับรถครับ”

เอาล่ะ!! มาเริ่มต้น “Kyushu Road Trip 6 วัน 5 คืน 3 หมื่นเอาอยู่” ของเรากันดีกว่า ทริปนี้ “ไม่ต้องลากกระเป๋าข้ามเมือง ไม่ต้องกังวลเรื่องรอบรถบัส รถไฟ หรือซื้อบัตรรถไฟและคอยเก็บตั๋วให้วุ่นวาย” ความสุขทริปนี้เริ่มต้นตั้งแต่ออกสตาร์ทกันเลยทีเดียว!!! Go on!!!

ทำประกันภัยการเดินทาง Chubb เพิ่มความอุ่นใจให้ทุกทริป

เรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ยิ่งถ้าอยู่ต่างบ้านต่างถิ่น ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมา เรื่องที่ควรจัดการได้ อาจไม่ง่ายอย่างที่คิด ทั้งเครื่องบินดีเลย์ กระเป๋าหาย (หรือล่าช้า) ประสบอุบัติเหตุ ป่วยไข้ ทรัพย์สินสูญหาย และปัญหาจุกจิกอีกมากมาย ที่จะพาลทำให้ทริปนั้นกลายเป็นฝันร้ายเอาง่ายๆ

เพื่อความอุ่นใจ ต้นกับปูเป้เลยเลือกทำประกันภัยการเดินทางเอาไว้ล่วงหน้าเสมอ สมัยเป็น Blogger ใหม่ๆ เราก็ซื้อประกันภัยการเดินทางเป็นรายเที่ยวครับ แต่หลังๆ นี่เดินทางปีนึง หลายทริปมากๆ เราเลยเลือกทำประกันภัยการเดินทางกันเป็นรายปี 5555 (ใครที่เดินทางปีนึงเกิน 3-4 ทริป ซื้อประกันการเดินทางชับบ์ Chubb Travel Buddy แบบรายปี ปีคุ้มสุดครับ)

สำหรับ Road Trip (ขับรถเที่ยว) เกาะคิวชู รอบนี้เราทำประกันภัยการเดินทางกับ “Chubb Travel Buddy (คู่หูนักเดินทาง)” ดูแลครอบคลุมทั้ง…

  • การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุและความพิการ
  • ค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ (ทั้งโควิด และไข้หวัดใหญ่)
  • ค่ารักษาพยาบาลต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในประเทศไทย 21 วัน
  • ผลประโยชน์รายวันสำหรับการเข้ารักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยใน ใน รพ.ต่างประเทศ
  • การเคลื่อนย้ายทางการแพทย์ฉุกเฉิน หรือการเคลื่อนย้ายกลับภูมิลำเนา
  • ค่าใช้จ่ายในการส่งศพหรืออัฐิกลับประเทศภูมิลำเนา
  • ค่าใช้จ่ายในการเดินทางและที่พักเพื่อไปเยี่ยมผู้เอาประกันภัยที่ รพ.ในต่างประเทศ
  • มีบริการสายด่วนช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม.
  • มีแผนประกันเสริม Flight Secure ทั้งการบอกเลิกการเดินทาง, การดีเลย์ของเที่ยวบิน การพลาดการต่อเครื่อง, ความล่าช้าของกระเป๋าเดินทาง รวมถึกรณีโจรขึ้นบ้าน ระหว่างเดินทางอยู่ต่างประเทศ

ที่สำคัญสามารถ ซื้อออนไลน์ได้ง่าย เลือกแผนได้ตามที่เราต้องการ ซื้อปุ๊ปได้กรมธรรม์ประกันภัยการเดินทางเลย เคลมไวไม่งอแง เบี้ยเริ่มต้นหลักร้อย ความคุ้มครองหลักล้าน ถูกใจเราสองคนสุดๆ!!

หมายเหตุ :
* เงื่อนไขของประกันการเดินทางชับบ์ (Chubb) ตามที่บริษัทฯ กำหนด
* ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัย

สนใจซื้อ ประกันการเดินทางชับบ์ Chubb Travel Buddy พร้อมได้รับส่วนลดพิเศษ คลิกที่นี่
อย่าลืมกรอกโค้ด NENGAN18 เพื่อรับส่วนลดน๊า!

เช่ารถขับเที่ยวในคิวชู (Kyushu)

จะขับรถเที่ยวญี่ปุ่นแบบสบายใจ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือขั้นตอนการเช่ารถขับนี่แหล่ะ!! อุปสรรคที่ทำให้หลายคนไม่กล้าเช่ารถขับที่ญี่ปุ่นก็คือเรื่องของภาษานี่ละครับ จะจองผ่านเคานเตอร์รถเช่า ก็งงกับภาษาอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่น เวลากรอกแบบฟอร์มเช่ารถก็มีออพชั่นให้เลือกเยอะไปหมด จะจองผ่านเว็บรถเช่าก็… โอ๊ย!! ปวดหัว 5555

ไม่ต้องกลัว ทุกอุปสรรคย่อมมีทางออก ทริปนี้ เราเช่ารถยนต์ผ่าน Klook จองง่าย สะดวก รวดเร็ว เค้าทำให้ “การเช่ารถในญี่ปุ่นเป็นเรื่องง่าย” เพราะ Klook มีระบบตอบข้อความเป็นภาษาไทย โดยเจ้าหน้าที่ที่เป็นคนจริงๆ (ไม่ใช่แชทบอท ai) ช่วยให้คุณสิ้นข้อสงสัยก่อนทำการจอง

ข้อดีของการเช่ารถกับ Klook

  1. เว็บไซต์ Klook และแอปพลิเคชั่น Klook รองรับภาษาไทย ทุกเมนู ทุกหัวข้อ อ่านเข้าใจง่าย ไม่สับสน
  2. เราจองรถเช่าผ่านทาง Klook โดยเลือกใช้รถของ NIPPON RENT-A-CAR บริษัทรถเช่าญี่ปุ่นซึ่งมีรถยนต์ยี่ห้อและรุ่นต่างๆ กว่า 42,000 คัน ใน 850 สาขาทั่วประเทศญี่ปุ่น รถมี option และสิ่งอำนวยความสะดวกครบ มาตรฐานความปลอดภัยสูง เปลี่ยนรถใหม่ทุกๆ 2-3 ปี ขับขี่แล้วอุ่นใจมาก
  3. NIPPON RENT-A-CAR มีเจ้าหน้าที่ที่พูดภาษาอังกฤษได้ ช่วยแนะนำเรื่องการใช้รถและการขับขี่พื้นฐาน อาทิ วิธีการเติมน้ำมัน การใช้ระบบ GPS นำทาง แนะนำเบอร์โทรฉุกเฉิน ฯลฯ ช่วยให้เราเข้าใจเรื่องการขับรถในญี่ปุ่นได้

ขั้นตอนในรับรถเช่า

พอลงเครื่องบินที่สนามบินฟุกุโอกะ (Fukuoka) ให้นั่งรถบัสมารับรถเช่าฝั่ง Domestic Terminal ที่ร้าน NIPPON RENT-A-CAR จะอยู่ตรงข้ามกับประตูทางออกของสนามบินเลย พร้อมเตรียมเอกสารดังนี้

  1. Voucher ใบจองรถเช่าผ่าน Klook
  2. Passport คนขับรถ (กรณีมีคนขับ 2 คน แนะนำให้แจ้งว่าคนไหนเป็นผู้ขับขี่หลักด้วย)
  3. ใบขับขี่สากลแบบ 1 ปี ตามอนุสัญญาว่าด้วยการจราจรทางถนน ณ นครเจนีวา 1949 ที่ยังไม่หมดอายุ
    (การทำใบขับขี่สากลต้องทำที่กรมการขนส่งทางบกมีค่าธรรมเนียม 505 บาท ใช้เวลาแป๊ปเดียวก็ได้เล่มเรียบร้อย)

ทริปนี้เราเดินทางพร้อมสัมภาระแน่นๆ เลยเลือกรถยนต์รุ่น Toyota Prius Hybrid ขนาดพอดีสำหรับ 3-4 นั่ง เน้นใส่ของได้เยอะ ท้ายรถใส่กระเป๋าเดินทาง 30″ รวม 3 ใบ เบาะหลังใส่กระเป๋าเดินทาง 20″ ได้ 1 ใบ และกระเป๋ากล้องเป้ใบใหญ่อีก 2 ใบ และสัมภาระกระจุกระจิกอีกหน่อย แนะนำตอนกดจองรถเช่าให้ซื้อ “ประกันภัยรถยนต์คุ้มครองแบบ Full Coverage” ด้วยเลย เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นแล้วเราจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ สบายใจ หายห่วง

หลังการใช้งานรถ Toyota Prius Hybrid ชอบและประทับใจในสมรรถนะรถทำให้ขับได้สนุก สภาพรถใหม่กริ๊บ ระบบนำทางแม่นยำ (แค่ใส่ Mapcope หรือเบอร์โทรศัพท์) ขับนิ่ม วิ่งเงียบ ขับทางไกลยิ่งประหยัดน้ำมัน เราขับรถรวมระยะทางกว่า 700 กิโลเมตร เติมน้ำมันไปแค่ 1,600 บาท เดินทางสะดวกตามใจเราดีสุดๆ ครับผม

สนใจ เช่ารถยนต์ผ่าน Klook ในราคาพิเศษ คลิกที่นี่

เช่ารถขับเองกับ ToCoo! Car Rental

ToCoo! คือ เว็บไซต์จองรถของที่อยากแนะนำให้รู้จักครับ ToCoo! “รองรับภาษาไทย” แบบจริงจังเลยครับ ทุกเมนู ทุกหัวข้อบนเว็บไซต์ มีข้อมูลภาษาไทยรองรับหมด ไม่เข้าใจรายละเอียดตรงไหน กดเข้าไปอ่านได้เลย เข้าใจทะลุปรุโปร่ง!!! ที่สำคัญมีระบบเชื่อมโยงบริษัทรถเช่าเกือบทุกค่ายในญี่ปุ่น ทำให้ ToCoo! มีรถเช่าพร้อมให้บริการเยอะมาก!!!

มีรถหลายแบบให้เลือก รวมถึงมี option ต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเช่ารถเยอะครับ และยังมีแพ็คเกจเช่ารถให้เลือกหลาย Plan เลย ไม่ว่าจะเป็น Plan ยอดฮิต (บนหน้าแรกของเว็บ) เช่น Full Coverage Plan ที่มีประกันอุบัติเหตุแบบคุ้มครองเต็มที่ ทั้ง N.O.C (ความเสียหายทางธุรกิจ) + ความเสียหายด้านทรัพย์สิน + ความเสียหายกับยานพาหนะ

จองรถเช่ากับ ToCoo! Car Rental ใส่ FVT2ZGได้รับส่วนลดทันที 1,000 เยน

เงื่อนไขการใช้โค้ดคูปอง

  • โค้ดคูปอง FVT2ZG   : รับส่วนลดทันที 1,000 เยน เมื่อมียอดค่ารถเช่า 10,000 เยนขึ้นไป
  • ระยะเวลาการเช่ารถ : 1 ต.ค. 2024 – 31 มี.ค.2025

จองโรงแรมทั่วโลกรับส่วนลดกับ Booking.com

จากนี้ไปขอแนะนำจุดชมวิวถ่ายภาพสวยๆ, ที่พัก และร้านอาหาร จากภูมิภาค “คิวชู (Kyushu)” เน้นสถานที่ในเขตยูฟุอิน (Yufuin) –> โออิตะ (Oita) -> คุมาโมโต้ (Kumamoto) -> มิยาซากิ (Miyazaki) -> Kitakyushu (คิตะคิวชู) -> ฟุกุโอกะ (Fukuoka) –> จะเสียเวลา Search หาเว็บไซต์โรงแรมทำไม ในเมื่อมีเว็บไซต์จองโรงแรมและตั๋วเครื่องบินอย่าง Booking.com ทริปนี้เราใช้บริการจองที่พักผ่าน Booking.com เพราะเว็บใช้งานง่าย ดีลดีและมีส่วนลดครับผม ^_^

สนใจ จองโรงแรมทั่วโลกรับส่วนลดกับ Booking.com ในราคาพิเศษ คลิที่นี่

ยุฟุอิน (Yufuin)

จากฟุกุโอกะ (Fukuoka) เราขับรถประมาณชั่วโมงกว่าๆ มุ่งหน้าไปเที่ยวยูฟุอิน (Yufuin) ก่อนเลย เมืองเล็กๆ สุดคิ้วท์ของเกาะคิวชูถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติของจังหวัดโออิตะ (Oita) เป็นเมืองออนเซ็นชื่อดัง มีวิวภูเขาฟุดาเกะเป็นฉากหลังของเมือง ระหว่างทางขับรถเห็นแต่ความเขียวๆ แดงๆ สดชื่น มองไปทางไหนก็ฟีลกู๊ดมากกกก!!

1. Kinrin lake (ทะเลสาบคินริน)

ทะเลสาบเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในเมืองยูฟุอินเป็นที่เราเห็นครั้งแรกต้องพูดออกมาเลยว่า โคตรสวย!! ทะเลสาบคินรินของเมืองยูฟุอิน (Yufuin) ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเป็นวิวที่คุ้มค่ามากๆ เราจะได้เห็นภาพของทะเลสาบสีใสตัดกับวิวภูเขาที่อร่ามไปด้วยสีสันสวยงามจากฤดูใบไม้เปลี่ยนสี สีแดง สีเขียว สีเหลืองที่สะท้อนลงบนผิวน้ำใส ๆ กับฝูงปลาที่แหวกว่ายไปตามธรรมชาติ

ข้อมูลเพิ่มเติม
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/7qAW8hgWwrxAkFSVA

2. Sabo Tenjo Sajiki

ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบคินรินกัน (Kinrin lake) เหมือนหมู่บ้านญี่ปุ่นเล็ก ๆ สไตล์โบราณ ซึ่งมีร้านค้าขายของจะให้ความเป็นดั้งเดิมและเรียบง่าย และยังมีขายของฝาก งานหัตถกรรม เป็นอีกหนึ่งจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงาม

ข้อมูลเพิ่มเติม
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/jN1b6h9HwGciSUHc8

3. Tenso shrine

ศาลเจ้าชินโตริมทะเลสาบคินริน (Kinrin lake) เป็นอีกหนึ่งพิกัดที่ถ่ายรูปทะเลสาบได้สวยมาก ด้านหน้าทางเข้าศาลเจ้าก็มีต้นไม้เปลี่ยนสีเป็นสีแดง ส้ม เหลืองแบบปังๆ พอเดินเข้ามาด้านในเราจะเห็นมุมสวยสงบ นั่งมอง เพลินเลยครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/jN1b6h9HwGciSUHc8

4. Cafe La Ruche

คาเฟ่สไตล์ America Cottage ริมทะเลสาบคินริน (Kinrin lake) นอกจากวิวดีแล้ว กาแฟ และเบเกอรี่ยังดีเริ่ด ส่วนตัวเราว่าราคาไม่ได้แรงไป และไม่ได้แพงกว่าที่กรุงเทพฯ เท่าไรเลย แถมวิวนี้คือเดอะเบสในการชมใบไม้เปลี่ยนสีเลย แนะนำให้มาตั้งแต่ร้านเปิดเวลา 09:00 น. จะได้โต๊ะด้านนอกติดริมทะเลสาบเลยครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/L67X3KMrRgz6jxfQA

5. Mount Yufu (由布岳 展望所)

นี่คือจุดชมวิวภูเขายูฟุ (Mount Yufu) ที่สวยอย่างกับภาพหน้าจอ Window ที่เราเคยเห็น วันนี้เราได้เห็นความสวยงาม ยิ่งใหญ่อลังการของภูเขายุฟุแล้ว บรรยากาศดีสุดๆ เป็นวิวที่นั่งมองแล้วเพลินตาเพลินใจ พิกัดนี้คนญี่ปุ่นนิยมมาถ่ายรูปแต่งงาน ถ่ายรูปอัพโซเชี่ยลกันเยอะมาก

ข้อมูลเพิ่มเติม
การเดินทาง : จอดรถไว้ด้านหน้าหรือฝั่งตรงข้ามแล้วเดินเทรลขึ้นไปด้านบน
พิกัด : https://goo.gl/maps/9tmmZ5uQBkFG5VCVA

6. Yufuin Stained Glass Museum

นี่คือพิพิธภัณฑ์กระจกสีโบราณแห่งแรกของญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งพิกัดเช็คอินถ่ายรูปสวยๆ ของยุฟุอิน (Yufuin) ที่ไม่ค่อยเห็นมาถ่ายรูปกัน ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์กระจกสีทำจากป็นอิฐสีน้ำตาลแดงมีกลิ่นอายความเป็นยุโรป ภายในเป็นกระจกสีมีอายุระหว่างศตวรรษที่ 19 – ต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งมีกระจกสีสวยๆ ขายด้านในด้วยครับ ที่ตั้งของ Yufuin Stained Glass Museum ค่อนข้างไกลจากถนนเส้นทางหลักของ Yufuin อยากมาที่นี่ต้องขับรถมานะครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม
ค่าเข้า : ผู้ใหญ่ราคา 1,080 เยน
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/zsErsJVrHdgPwoVw8

7. Yufuin Yonotsubo Street

ถนนช้อปปิ้งชื่อดังของเมืองยุฟุอิน (Yufuin) เป็นถนนสายหลักอยู่ระหว่างสถานียุฟุอินกับทะเลสาบคินริน สองข้างทางมีร้านค้าเยอะมากทั้งร้านขายขนม คาเฟ่ ไอศกรีม มันย่าง ชีสเค้ก โคร็อกเกะ ขายของฝากที่ระลึก บรรยากาศน่าเดินมากๆ มีร้านอร่อยที่อยากจะแนะนำด้วยครับ

Yufuin Potehani
อากาศหนาวๆ แบบนี้แค่เห็นมันหวานเผา ใครจะอดใจไหว!! ยิ่งเจอมันหวานหน้าครีมบรูว์เล (Brulee) มันหวานหน้าครีมบรูว์เลย่างหอมๆ เนื้อคัสตาร์ดเนียนๆ ชั้นคาราเมลหวานไหม้ๆ กับ มันหวานย่างเนยรสชาติออกเค็มนิดๆ ให้รสชาติคนละแบบ อร่อยมากกก

ข้อมูลเพิ่มเติม
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/wedRGRxc5Hf2m8UW8

ร้านข้าวอบหม้อดิน Yufu Mabushi Shin
นี่คือร้านเด็ดของยุฟุอิน (Yufuin) ที่คิวต่อยาวมากกก!! ร้านขายข้าวอบย่างถ่านหน้าเนื้อต่างๆ ที่เรียกว่า Mabushi ร้านนี้จะมี 2 สาขา คือ สาขาทะเลสาบคินริน และสาขาถนน Yonotsubo Street อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ JR Yufuin Station

เซ็ตขายดีของที่ร้านมี 3 เมนูหลัก
Bungo-Gyu Mabushi (ข้าวหน้าเนื้อ), Chicken Mabushi (ข้าวหน้าไก่) และ Eel Mabushi (ข้าวหน้าปลาไหล) ตัวข้าวมีกลิ่นหอมฟุ้ง เนื้อนุ่มละลายมีกลิ่นกลิ่นไหม้อ่อนๆ ทานพร้อมกันแล้วมีความหอมอวลในปาก และยังมีเครื่องเคียงแบบจัดเค็มอัดแน่นให้รสเปรี้ยว และหวาน ยิ่งทำให้รสชาติเข้ากันแบบดีมากกก!! ทางร้านรับแต่เงินสดเท่านั้นครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/jzhUbh7q5TLhLTWP7

โดรายากิพุดดิ้ง Hanakojikikuya
นี่คือของหวานขึ้นชื่อของยุฟุอิน (Yufuin) ที่มากี่ทีก็ต้องแวะ!!! โดรายากิไส้พุดดิ้งนุ่มมาก เด้งดึ๋งสุด ๆ ตัวแป้งหอมมาก ไส้พุดดิ้งด้านในลงตัวกับแป้งโดรายากิสุดๆ ตัวพุดดิ้งหอมนมๆ มีเอกลักษณ์ มี 3 รสให้เลือก คือ รสดั้งเดิม, ชาเขียวพร้อมถั่วแดงเม็ดโตๆ และสตรอว์เบอร์รี ซื้อมาแล้วรอให้มันนิ่มลงซักพักก่อน ไม่งั้นแข็งโป๊กเลยนะ

ข้อมูลเพิ่มเติม
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/HGczc63UZr55R4Nq9

GOEMON Cafe
ร้านชีสเค้กชื่อดังของ Yufuin ครีมชีสใช้วัตถุดิบจากจังหวัด Oita และ Miyazaki ขนมที่อยากให้ลอง คือ Cheese Tarte และ Egg Tarte ด้านนอกเป็นทาร์ตกรุบกรอบกำลังดีสอดไส้ด้านในด้วยครีมชีส หอมนม หอมชีส หอมไข่ เนื้อเนียนละเอียดคครีมมี่นุ่มๆ อร่อยประทับใจมากกกก

ข้อมูลเพิ่มเติม
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/uEHByai6wFrwTTv96

โออิตะ (Oita)

จังหวัดโออิตะ (Oita) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะคิวชู ทิศตะวันตกติดกับจังหวัดฟุกูโอกะ (Fukuoka) ทิศใต้ติดกับจังหวัดคุมาโมโตะ (Kumamoto) และจังหวัดมิยาซากิ (Miyazaki) เมืองดังของจังหวัดโออิตะ (Oita) คือ ยูฟุอิน (Yufuin) จุดชมใบไม้แดงที่สวยมากของคิวชู และเมืองเบปปุ (Beppu) เมืองริมทะเล และแหล่งออนเซ็นที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น คนที่รักการแช่ออนเซ็น นอนแช่อบบ่อทรายร้อน แนะนำให้มาพักสัก 1-2 คืนแล้วจะหายเมื่อยเนื้อตัว แฮปปี้สุดๆ ครับ

8. Harajiri no taki (原尻の滝)

พอออกจากยุฟูอิน (Yufuin) เราขับรถมุ่งหน้าไปน้ำตกฮาระจิริ (Harajiri no taki : 原尻の滝) นี่เป็นพิกัดเที่ยว Unseen ของจังหวัดโออิตะ (Oita) เลยครับ น้ำตกฮาระจิริเป็นสถานที่ท่องเที่ยวดังของเมืองบุนโกะโอโนะ (Bungo Ono) ซึ่งคนไทยอาจจะยังไม่ค่อยรู้จักกันเท่าไหร่ แนะนำขับรถมาจะสะดวกที่สุดครับผม

ความสวยงามและโดดเด่นของน้ำตกฮาระจิริ (Harajiri no taki) คือ หินของน้ำตกจะเรียงตัวกันเป็นแนวโค้งครึ่งวงกลม รูปทรงจะแปลกตากว่าที่อื่น ขนาดน้ำตกมีความกว้างถึง 120 เมตร ความสูง 20 เมตร น้ำตกแห่งนี้เกิดจากการไหลของลาวาเมื่อครั้งที่ภูเขาไฟอะโสะ (Mount Aso) ประทุขึ้นในจังหวัดคุมาโมโตะ (Kumamoto) รูปร่างมีลักษณะคล้ายน้ำตกไนแองการาที่อเมริกาแต่ย่อส่วนกว่าจึงทำให้ที่นี่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “น้ำตกไนแองการาแห่งตะวันออก” และยังติดเป็น 1 ใน 100 ของน้ำตกที่สวยงามที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ทางข้างจะมีทางลงให้เราเดินไปถ่ายรูปกับน้ำตกแบบใกล้ๆ แต่เสียดายตอนที่เราไปเป็นก่อนเข้าหน้าหนาว น้ำน้อยไปนิดนึง แต่น้ำใส และเย็นมาก

ก่อนออกจากน้ำตกฮาระจิริ (Harajiri no taki๗ แนะนำให้แวะมาชมวิวที่สะพานแขวนเหนือน้ำตกชื่อว่า”ทากิมิบาชิ” เป็นอีกจุดชมวิวที่เห็นน้ำตกได้เต็มตา จะเห็นภาพน้ำตกล้อมรอบไปด้วยนาข้าว พื้นที่เกษตรกรรมแบบที่เราดูในหนังหมู่บ้านชนบทของญี่ปุ่น มองแล้วเพลินตา เพลินใจมาก พื้นที่บริเวณนี้ถือว่ามีความอุดมสมบูรณ์มาก ปลูกผักได้มากสุดของจังหวัดโออิตะ (Oita) เลย

ข้อมูลเพิ่มเติม
อ้างอิงข้อมูล : I love Oita การท่องเที่ยวจังหวัดโออิตะ
พิกัด : https://goo.gl/maps/HEMDjWXoYCt

คุมาโมโตะ (Kumamoto)

คุมาโมโตะ (Kumamoto) เป็นเมืองใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางของภูมิภาคคิวชูของญี่ปุ่น ทิศเหนือติดกับเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) เหมาะกับการมาเที่ยวแบบ Day Trip จากฟุกุโอกะ (Fukuoka) ใช้เวลานั่งรถไฟชินคันเซ็นประมาณ 40 นาที หรือขับรถยนต์จะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ส่วนทิศตะวันออกเฉียงเหนือติดกับจังหวัดโออิตะ (Oita) ที่ขึ้นชื่อเมืองออนเซ็นทั้งยูฟุอิน (Yufuin) และเบปปุ (Beppu) หรือสำหรับคนชอบความชิล ชอบธรรมชาติ ชอบวิวภูเขา แนะนำให้มานอนค้างคืนแถวอะโสะ (Aso) แล้วจะหลงรักเมืองนี้เพิ่มขึ้นอีกครับผม

9. Aso Skyline

ภูเขา ท้องฟ้า ทุ่งหญ้า และสายลม นี่คือเสน่ห์ของ Aso Skyline ถนนเส้นนี้สวยสุดๆ ของเมืองคุมาโมโตะ (Kumamoto) ฟีลกู๊ดมากกกก!! เป็นถนนที่ควรมาขับรถ และเห็นด้วยตาสักครั้ง เส้นทางขึ้นเขาขับรถง่ายมาก เราขับๆ จอดๆ ตลอดทางเลย มุมนั้น มุมนี้ โอ๊ยยย!! สวยไปหมด

ข้อมูลเพิ่มเติม
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/HtfXeyzYb6R6p27p9

10. Nishiyunouraenchi observatory

จุดชมวิวดังของภูเขาไฟอะโสะ (Aso) ของเมืองคุมาโมโตะ (Kumamoto) ที่สวยตะโกนมากกกก!! จุดนี้เราจะเห็นวิวมุมกว้างแบบพาโนรามาเหนือปล่องภูเขาไฟ และยอดเขาอะโสะทั้ง 5 เป็นฉากด้านหลังพร้อมกับแนวถนนเส้นยาว แรกๆ ก็ไม่เชื่อว่านี่เป็นถนนเส้นทางขับรถที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น แต่พอมาเห็นกับตาแล้ว โอ๊ยยยย!!! วิวสวยแบบ 10/10 เลยครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม
ค่าเข้าจุดชมวิว : 300 เยน
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/9a7ykavi3jiQvcDc9

มิยาซากิ (Miyazaki)

ออกจากแถวอะโสะ (Aso) ของเมืองคุมาโมโตะ (Kumamoto) ขับรถมาประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงตอนเหนือของจังหวัดมิยาซากิ (Miyazaki) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของภูมิภาคคิวชู พื้นที่ของจังหวัดมิยาซากิ (Miyazaki) ประมาณ 76% เป็นภูเขาและป่าไม้มีวิวธรรมชาติสวย พื้นที่ทางเหนือติดกับจังหวัดโออิตะ (Oita) ทิศตะวันตกติดกับจังหวัดคุมาโมโตะ (Kumamoto) ทิศตะวันออกเป็นแนวชายฝั่งยาวติดริมมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นจังหวัดที่มีค่าเฉลี่ยวันที่มีแดดถึง 53 วัน/ปี เลยทำให้อากาศดี มีแสงแดดเยอะ น่าเที่ยวมากครับ เสียดายที่เราเวลาจำกัดเลยเที่ยวได้แค่ตอนเหนือของจังหวัดมิยาซากิ (Miyazaki)

11. Takachiho Gorge (หุบเขาทะคะจิโฮะ)

หุบเขาทะคะจิโฮะ (Takachiho George) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัดมิยาซากิ (Miyazaki) เห็นมุมนี้ครั้งแรก เลยตั้งใจจะไปเห็นด้วยตาตัวเองให้ได้เลย หุบเขาทะคะจิโฮะเกิดจากการปะทุของภูเขาอะโสะ (Mt. Aso) รูปร่างของหุบเขาจะเป็นหินแท่งที่สร้างตัวเป็นพันๆ ปี หน้าผาจะสูงประมาณ 80-100 เมตร โดยมีแม่น้ำโคคาเสะ (Gokase) ไหลผ่าน ทรงหินมีรูปร่างแปลกตามีความสูงสลับซับซ้อนเป็นแนวหุบเขาต่อกันยาว 7 กิโลเมตร

ไฮไลต์ของหุบเขาทะคะจิโฮะ (Takachiho Gorge) คือ การพายเรือชมวิวสวยผ่าน น้ำตกมะนะอิโนทาคิ (Manainotaki) ที่ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 100 น้ำตกที่มีความสวยงามของญี่ปุ่น ยิ่งถ้าได้ไปช่วงใบไม้เปลี่ยนสีจะยิ่งสวยจับจิตจับใจ สีส้ม สีเหลือง ฟีลดีมากกก อากาศเย็นสบายอุณหภูมิกลางวันประมาณ 11-12 °C ถ่ายรูปเพลินเลยครับ

จุดลงเรือพายจะอยู่บริเวณลานจอดรถที่ 1 ตรงนี้
ค่าบริการเช่าเรือพาย

ข้อมูลเพิ่มเติม
ค่าเข้าชม : ฟรี
ค่าเช่าเรือพาย : เวลา 30 นาที 2,000 เยน/ลำ นั่งได้สูงสุด 3 คน
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/3shHrUgkcQTeBJ2P7

12. Amanoiwato Shrine Higashihongu (ศาลเจ้าอะมะโนะ อิวาโตะ)

ออกจากหุบเขาทะคะจิโฮะ (Takachiho George) ขับรถ 15 นาทีก็มาถึง Amano Iwato Shrine (ศาลเจ้าอะมะโนะ อิวาโตะ) ตั้งอยู่ริมข้างแม่น้ำอิวาโตะกาวะ (Iwatogawa) เมืองทาคาชิโฮะ (Takachiho) เป็นศาลเจ้าชินโตดังที่ใครๆ มา Takachiho George แล้วก็ต้องมาแวะที่นี่ครับผม

Amanoiwato Shrine เป็นศาลเจ้าที่เงียบสงบสองข้างทางเดินเต็มไปด้วยต้นไม้สองข้างทาง ร่มรื่นแต่แฝงไปด้วยความขลัง โบราณเล่าต่อกันมาว่าที่นี่เป็นสถานที่ศักด์สิทธิ์ของเทพเจ้าในญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นเชื่อว่าศาลเจ้านี้เราจะสัมผัสได้ถึงพลังงานบวก ผู้คนมาไหว้เพื่อเสริมดวงชะตาให้ดีขึ้น ภายในวัดจะแบ่งเป็นศาลทางตะวันออก และศาลเจ้าทางตะวันตกจะเป็นศาลเจ้าที่ตั้งของถ้ำอามาโนะอิวาโตะ (Amano Iwato) ที่องค์เทพอามาเทราสึ โอมิคามิ (เทพธิดาแห่งดวงอาทิตย์) ไปซ่อนตัวอยู่ในถ้ำตามตำนานเหล่าทวยเทพที่โด่งดังที่สุดของญี่ปุ่น

ข้อมูลเพิ่มเติม
เว็บไซต์ : https://amanoiwato-jinja.jp/
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/3shHrUgkcQTeBJ2P7
อ้างอิงข้อมูลจาก : การท่องเที่ยวญี่ปุ่น – Visit Japan

13. Amano Yasukawara (ถ้ำอะมะโนะ ยาสุกาวาระ)

ขอเอาใจสายมูพามาขอพรสมหวังดั่งใจกันบ้าง พอออกจากศาลหลักฝั่งตะวันตกของศาลเจ้าอะมะโนะอิวาโตะ เดินประมาณ 10 นาทีก็จะถึง ถ้ำอามาโนะยาสุกาวาระ (Amano Yasukawara : 天安河原) ตั้งอยู่เลียบแม่น้ำอิวาโตะ (Iwato) ระหว่างทางเดินจะมีน้ำตก สะพานหิน Taiko Bridge ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดที่นิยมมาถ่ายรูป

ถ้ำอามาโนะยาสุกาวาระ (Amano Yasukawara) เป็นสถานที่ที่เกิดตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับ เทพอะมะเทระซึ (Amaterasu) หรือเทพธิดาแห่งดวงอาทิตย์ที่โด่งดังที่สุดในญี่ปุ่น มีความเชื่อว่า “ขอพรแล้วสำเร็จสมดั่งหวัง” คนจึงนิยมนำหินมาเรียงที่พื้นเป็นเลขคี่เช่น 3, 5, 7, 9 มากมายเต็มถ้ำ โดยมีความเชื่อว่าหากเรียงหินไม่ล้มจะทำให้ขอพรสำเร็จสมหวัง

ในลำธารน้ำใสม๊ากกก!!

เมื่อมาถึงถ้ำอามาโนะยาสุกาวาระ (Amano Yasukawara) จะมีเสาโทริอิ และศาลเจ้าเล็กๆ ให้เข้าไปไหว้ขอพร ตัวถ้ำมีขนาดกว้าง 40 เมตร ลึก 30 เมตร ตามตำนานญี่ปุ่นที่เล่าขานกันต่อๆ มา ที่นี่เป็นสถานที่รวมตัวของเหล่าทวยเทพ 800 องค์ ที่มาปรึกษาหารือกันจะทำยังไงให้ เทพอามะเทระสึ (Amaterasu) หรือเทพแห่งดวงอาทิตย์ออกจากถ้ำ ซึ่งนางเสียใจที่น้องชาย (เทพซูซาโนโอะ) อิจฉาริษยา นางจึงหนีไปหลบซ่อนในถ้ำ

ด้วยความที่นางเป็นเทพแห่งดวงอาทิตย์ จึงไม่มีแสงสว่างทำให้โลกมืดมิดเกิดภาวะแห้งแล้ง ยากจน ผู้คนอดอยากเดือดร้อน เหล่าทวยเทพทั้งหลายจึงปรึกษาหารือเพื่อออกอุบายให้เทพอามะเทระสึ (Amaterasu) หรือเทพแห่งดวงอาทิตย์ออกจากถ้ำ โดยแกล้งทำเป็นเสียงดัง ร้องเพลงสนุกสนานแล้ววางกระจกไว้หน้าถ้ำ เมื่อเทพอามะเทระสึเดินออกจากถ้ำแล้วแสงดวงอาทิตย์ของตัวเองสะท้อนเข้ากระจกจึงทำให้ตาพล่ามัวชั่วขณะ เหล่าเทพก็ช่วยกันจับตัวนางไว้ จากนั้นทวยเทพต่างมาขอคืนดีกับนาง ทำให้โลกเกิดความสงบสุข มีแสงสว่างสดใสบนโลกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง จบแบบ Happy Ending มาแล้วก็มาเรียงหินขอพรให้สมหวังดั่งใจกันครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม
เปิดทำการ : ทุกวัน 8:00–17:00 น.
Website : http://www.krobkruengjapan.com/miyazaki/
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/YJyCSBSFhrrZPeFY8

Kitakyushu (คิตะคิวชู)

Kitakyushu (คิตะคิวชู) เป็นอำเภอใหญ่เหนือสุดของเกาะคิวชูในจังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka) เหมาะมาเดินเที่ยวเล่นชิลๆ แบบ One-Day Trip ขับรถประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงแล้ว Kitakyushu (คิตะคิวชู) เป็นจุดเชื่อมต่อผ่านทางช่องแคบคัมมง (Kanmon Straits) ระหว่างเกาะคิวชู (Kyushu) และเกาะฮอนชู (Honshu) ของเมืองชิโมโนเซกิของจังหวัดยามากุจิ (Yamaguchi)(Shimonoseki) เมืองนี้ขึ้นชื่อเรื่องปลาปักเป้า

14. Mekari Shrine (ศาลเจ้าเมการิ)  

Mekari Shrine เมการิเป็นศาลเจ้าเล็กๆ ตั้งอยู่ริมทะเลเหนือสุดของเกาะคิวชูในช่องแคบคัมมง (Kanmon Straits) จุดเด่นของศาลเจ้า คือ เสาโทริอิสีขาวโดดเด่นที่มีฉากหลังเป็นสะพานคัมมง (Kanmon Bridge) เป็นมุม IG. Shot ที่สวยงามมาก สะพานคัมมงนี้ใช้ข้ามระหว่างเกาะคิวชู (Kyushu) และเกาะฮอนชู (Honshu) ไปยังเมืองชิโมโนเซกิ (Shimonoseki) จังหวัดยามากุจิ (Yamaguchi)

จุดนี้เชื่อมต่อ 2 ทะเลเข้าด้วยกัน คือ ทะเลญี่ปุ่นและมหาสมุทรแปซิฟิค มีกระแสน้ำวน มีเวลาน้ำขึ้นน้ำลง ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่นเป็นจุดสถานที่ที่มีพลังงานชีวิตสูง (Power Spot) ที่คนญี่ปุ่นนิยมมาไหว้ขอพร และที่นี่ยังเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้าแห่งการเดินทาง ก่อนออกเรือชาวประมงจะมาขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลเพื่อช่วยให้ออกเรือกลับมาอย่างรอดปลอดภัย

ข้อมูลเพิ่มเติม
เว็บไซต์ : https://www.mekarijinja.com/
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/m5kWSnYSjro8v1Nw6

15. ท่าเรือโมจิ (Moji Port)

ท่าเรือโมจิ (Moji Port) ตั้งอยู่เหนือสุดของเกาะคิวชู ในอดีตท่าเรือแห่งนี้เป็นศูนย์กลางทางการค้าขายกับต่างประเทศที่สำคัญของญี่ปุ่น ถือว่าเป็นท่าเรือขนาดใหญ่ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่นเลยครับ รอบๆ ท่าเรือโมจิ (Moji Port) จะเต็มไปด้วยอาคารสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานสไตล์ญี่ปุ่นและตะวันตก (Neo-Renaissance) ที่ถูกอนุรักษ์ไว้ อาคารแต่ละหลังมีความเรโทรแต่ยังมีความน่ารักผสมอยู่ เช่น อดีตอาคารเรือพาณิชย์โอซาก้า (Former Osaka Shosen Building) อดีตศุลกากรโมจิ (Former Moji Zeikan) และสถานีรถไฟโมจิโกะ (Mojiko Station) เราสองคนชอบวิว ชอบ Mood ชอบ Vibe ของที่นี่มาก

ข้อมูลเพิ่มเติม
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/azGAqBtDNhSfHac98

16. Mojiko Retro Town

Mojiko Retro Town เมืองย้อนยุคริมทะเลที่มีความเรโทรน่ารักของท่าเรือโมจิ (Moji Port) ตั้งอยู่ในเมืองคิตะคิวชู (Kitakyushu) ล้อมรอบด้วยอาคารสถาปัตยกรรมสไตล์ตะวันตกและญี่ปุ่น มีมุมถ่ายรูปฟีลยุโรปเก๋ๆ ชิคๆ เยอะเลยทั้งพิพิธภัณฑ์ แกลเลอรี่ ศูนย์การค้า ร้านค้าของฝาก ร้านอาหาร คาเฟ่ และอื่นๆ

ถ้าเดินมาด้านหลังจะมีสะพานสีฟ้า “Blue Wing Moji” ที่สามารถยกเปิด-ปิดได้เพื่อให้เรือใหญ่แล่นผ่านได้ หรือถ้าอยากชมวิวมุมสูงของโมจิโกะ (Mojiko) แบบกว้างๆ พาโนรามา แนะนำไป จุดชมวิวโมจิโกะ (Mojiko Retro Observation) ชั้น 31 สวยไม่ผิดหวังครับ

มาที่นี่แล้วต้องมาลองขนมที่ทำจาก “กล้วย” ซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ มีทั้งขนมไข่สอดไส้กล้วย ไอศศกรีมกล้วย หวานหอม อร่อยนัวมาก

สนใจซื้อ บัตรจุดชมวิว Mojiko Retro Observatory ในราคาพิเศษ คลิกที่นี่

ข้อมูลเพิ่มเติม
เว็บไซต์ : http://www.mojiko.info/
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/XtdpY2qg5rS3HnkaA

17. Mojiko Station (สถานีรถไฟโมจิโกะ)

สถานีรถไฟที่เก่าแก่ที่สุดของรถไฟสายคาโกชิมะมีอายุกว่า 100 ปี และยังเป็นสถานีรถไฟแห่งแรกในญี่ปุ่นที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินสำคัญทางวัฒนธรรมของชาติ Mojiko Station (สถานีรถไฟโมจิโกะ) ตั้งอยู่ใกล้กับท่าเรือโมจิ (Moji Port) ตัวอาคารสถานีออกแบบได้สวยมากโดยได้รับแรงบันดาลใจจากสถานีรถไฟของประเทศอิตาลี และสถาปัตยกรรมยุโรปมีกลิ่นอายความคลาสสิคและความเป็นนีโอเรเนซองส์ ด้วยความเป็นญี่ปุ่นก็จะมีการออกแบบตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่คุมโทน มีการจัดแบ่งสัดส่วนอย่างดีมีการใช้กราฟิกโมชั่นเล่าเรื่องราวประวัติความเก่าแก่ของรถไฟคิวชู ภายในมีทั้งมินิมาร์ท และ Starbucks ก็ใช้สีและการออกแบบคุมโทนไปทางเดียวกัน

ข้อมูลเพิ่มเติม
ค่าเข้า : ฟรี
การเดินทาง : จากฟุกุโอกะ (Fukuoka) เดินทางมายังสถานี Mojiko Station ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
พิกัด : https://goo.gl/maps/wCTpktNWMsfByGku9

18. Karato Fish market (ตลาดปลาคาราโตะ)

จากนั้นเราขับรถจาก Mojiko Station ข้ามฝากไปตลาดปลาคาราโตะ (Karato Fish market) ไปกินปลาปักเป้าของขึ้นชื่อที่นี่ ซาชิมิ ซูชิสดๆ ริมทะเลกันครับ ตลาดปลาคาราโตะตั้งอยู่ที่เมืองชิโมโนเซกิ (Shimonoseki) เมืองติดทะเลใต้สุดของเกาะฮอนชู จังหวัดยามากุจิ (Yamaguchi) ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับ Mojiko บริเวณช่องแคบคัมมงฝั่งจังหวัดฟุกุโอกะ (Fukuoka) หรือจะนั่งเรือข้ามฟากที่ท่าเรือ Kanmon Ferry Terminal ใช้เวลาเดินทางประมาณ 10-15 นาที ไปตลาดปลาคาราโตะได้ครับ

ตลาดปลาคาราโตะ (Karato Fish market) เป็นตลาดปลาที่ใหญ่มาก มีสีสันคึกคักกว่าทางฝั่งเกาะคิวชู (Kyushu) เอกลักษณ์ของที่นี่จะมีการขายซูซิหน้าล้นมากมายหลายหน้า เช่น หน้าอูนิ ปลาดิบ ปลาไหล ปลาปักเป้าในราคาน่ารัก แต่จะมีขายเฉพาะวันเสาร์และวันอาทิตย์ และวันหยุด 7.00 ถึง 15.00 น.เท่านั้น (ส่วนวันธรรมดาจะไม่มีขายซูชิเป็นชิ้นๆ นะ) ชั้นล่างของตลาดปลาจะมีแผงขายซีฟู้ดสดๆ เน้นซาชิมิและซาชิมิปลาปักเป้า รสชาติหนึบหนัน กรุบๆ เหมือนเคี้ยวปลาหมึกอยู่หน่อยๆ

นอกจากนี้ตลาดปลาคาราโตะยังมีร้านค้าขายอาหารทะเลแห้งแปรรูป ปลาหมึกแห้ง ปลาแห้ง ของทานเล่นที่ซื้อกลับเป็นของฝากได้ ส่วนชั้นบนของตลาดปลาคาราโตะจะมีร้านอาหารประมาณ 3-4 ร้านซึ่งคนนิยมมาทานกันด้วยความสด และราคาค่อนข้างดี แต่คิวยาวมากกกกก!!

ข้อมูลเพิ่มเติม
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/EKLkrLg1ewZ66xPC6

19. Kamon Wharf

ถ้ารอต่อคิวที่ร้านอาหารตลาดปลาคาราโตะ (Karato Fish market) ไม่ไหว แนะนำให้ไปที่ Kamon Wharf พลาซ่าติดท่าเรืออยู่ติดกับตลาดปลาคาราโตะ ซึ่งจะมีร้านอาหารทะเลซีฟู้ดสดๆ ครบทั้งซาชิมิ ซูชิ หม้อไฟ ชาบู ความสดไม่แพ้กัน ส่วนคนไม่ทานของดิบก็มีร้านอาหารอื่นๆ ให้เลือกเช่นกัน

ข้อมูลเพิ่มเติม
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/RJfKUHRa9ywicbr1A

20. Takatoyama Observatory Deck

ปักหมุด Takatoyama Observation Deck ไว้เลยครับ นี่คือพิกัด Unseen จุดชมวิวสะพานแดงวากาโตะ โอฮาชิ (Wakato Ohashi Bridge) สะพานแขวนที่ยาวที่สุดในเอเชีย พร้อมวิวเมืองยามค่ำคืนที่สะท้อนผืนน้ำสวยงามอลังการมากกกกก!!!

Takatoyama Observation Deck เป็นจุดชมวิวตั้งอยู่ในสวนสาธารณะทาคาโทยามะ (Takatoyama Park) ของเมืองคีตะคิวชู (Kitakyushu) บนยอดเขาทาคาโทยามะที่มีความสูง 124 เมตรจึงเห็นวิวรอบด้านแบบพาโนรามาแบบสวยงามสตั้นนิ่งมาก

ปูเป้เห็นทีแรกถึงกับร้องว๊าววววกับความสวยของมุมนี้เลย !!! ให้คะแนนวิวที่นี่แบบ 10/10 เลยครับผม

ข้อมูลเพิ่มเติม
ที่จอดรถ : ฟรี
พิกัด : https://goo.gl/maps/KzV8eWAv3jV9dRpm6

ฟุกุโอกะ (Fukuoka)

21. Dazaifu Tenmangu Shrine (ศาลเจ้าดาไซฟุเท็มมังกู)

Dazaifu Tenmangu Shrine ศาลเจ้าชินโตที่สำคัญของญี่ปุ่นได้รับการยกย่องให้เป็น เทพเจ้าแห่งการศึกษาและเทพแห่งการเรียนรู้ เป็นอีกหนึ่งพิกัดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามมากแห่งหนึ่งของฟุกุโอกะ (Fukuoka) ศาลเจ้าดาไซฟุเท็มมังกูเป็นที่ประดิษฐานของเทพเจ้า ซุกาวาระ โนะ มิจิซาเนะ ท่านเป็นอัจฉริยะด้านนักวิชาการ นักการเมือง และนักเขียนที่ให้ความเชื่อถือกันทั่วญี่ปุ่น มีผลงานที่โดดเด่นในราชสำนักสมัยศตวรรษที่ 9 (ช่วงปี ค.ศ. 800 – 900) สมัยนั้นท่านได้รับตำแหน่งสูงสุดของนักวิชาการเลยครับ แต่ท่านถูกใส่ร้ายป้ายสีในเรื่องที่ไม่ได้ทำจึงถูกเนรเทศจากเกียวโตมาที่ดาไซฟุ (Dazaifu) และก็เสียชีวิตที่นั่น หลังจากที่ท่านเสียชีวิตก็ได้รับการยกย่องให้เป็น เทพเจ้าแห่งการศึกษา ปัจจุบันมีสาขาของศาลเจ้าเท็มมังกูที่สักการะท่านมิจิซาเนะมากกว่า 12,000 แห่ง โดยมีศาลเจ้าแห่งนี้เป็นสาขาหลัก

ก่อนที่จะเดินไปถึงศาลเจ้าดาไซฟุเท็มมังกู เราจะเห็นรูปปั้นวัวสัมฤทธิ์โกะชินกิวในท่านั่งหมอบ โดยมีความเชื่อว่า เป็นวัวของเทพเจ้า ถ้าได้ลูบหัวของรูปปั้นวัวแล้วจะทำให้เราฉลาดขึ้น ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรเรื่องเรียนและความรู้

ก่อนจะไปถึงศาลเจ้าซึ่งตอนนี้กำลังซ่อมปรับปรุงอยู่ จะต้องข้าม สะพานไทโคบาชิ สะพานสีแดงเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีริมบ่อน้ำที่สวยมาก เหมือนภาพวาดเลย มีปลาว่ายไปมานั่งชมเพลินเลยครับ ซึ่งจะมีสะพานแดงรวม 3 อันซึ่งเปรียบเสมือนการเดินทางไปสู่ฮนเด็น (ศาลเจ้าหลัก) โดยมีความเชื่อว่าสะพานแดง 3 อันเป็นสัญลักษณ์ของ “อดีต ปัจจุบัน และอนาคต” เหมือนเป็นการเตรียมชำระล้างจิตใจและร่างกายให้สะอาดบริสุทธิ์ก่อนไปพบเทพเจ้า

ศาลเจ้าแห่งนี้มีนักท่องเที่ยว และนักเรียนญี่ปุ่นจำนวนมากมาขอพรให้สอบผ่านและผลการเรียนดี มีวิธีการไหว้จะให้โยนเหรียญใส่ลงไป โค้งคำนับ 2 ครั้ง และปรบมือ 2 ครั้งจากนั้นให้โค้งเพื่อขอคำอธิษฐาน

คำแนะนำ : สำหรับคนที่มีเวลาให้เดินไปด้านหลังของ ศาลเจ้าดาไซฟุเท็มมังกู แล้วไปที่ Tenkai Inari Shrine ศาลเจ้าเท็นไค อินาริบูชาเทพอินาริที่เก่าแก่ที่สุดในคิวชู ร่มรื่น เงียบสงบ และเป็นอีกหนึ่งจุดที่ใบไม้เปลี่ยนสีสวยๆ ด้วยครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม
เปิดทำการ : ทุกวันเวลา 06.30–18.30 น.
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/WJH4hMx9Nj4qVhRD7
อ้างอิงข้อมูลจาก : https://matcha-jp.com/th/1303

22. ถนนคนเดินซันโดหน้าศาลเจ้า Dazaifu Tenmangu Shrine

จากสถานีรถไฟดาไซฟุ (Dazaifu Station) ออกมาจะเห็น ถนนคนเดินซันโด เป็นถนนมุ่งหน้าสู่ศาลเจ้า Dazaifu Tenmangu Shrine สองข้างทางของถนนเส้นนี้มีสีสัน คึกคักไปด้วยผู้คน ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก ร้านขายขนมโมจิต่างๆ ให้เราได้อิ่มอร่อยก่อนเดินเข้าไปสักการะศาลเจ้าดาไซฟุเท็มมังกู (Dazaifu Tenmangu Shrine)

ร้านที่สะดุดตาที่สุดของถนนเส้นนี้ที่ใครๆ ก็แวะถ่ายรูป คือ ร้านกาแฟสตาร์บัคส์ Starbucks Coffee – Dazaifu Tenmangu Shrine Omotesando สาขานี้ขึ้นชื่อว่าเป็น 1 ในร้านกาแฟสตาร์บัคส์ (Starbucks) ที่สวยที่สุดของญี่ปุ่น เป็น “Concept Store” ออกแบบคอนเซปต์พิเศษโดยทีมงานนักสถาปนิกชาวญี่ปุ่น Kengo Kuma ที่มีผลงานมามากมายโด่งดัง โครงสร้างของร้านตกแต่งด้วยท่อนไม้สองพันชิ้นสอดประสานโดยใช้เทคนิคไม้ญี่ปุ่นแบบโบราณแบบไม่ใช้ตะปู และผสมผสานความเป็นญี่ปุ่นสมัยใหม่โดยใช้วัสดุจากธรรมชาติออกแบบให้สัมผัสถึงความอบอุ่นกลมกลืนกับศาลเจ้าไดซาฟุ เป็นอีกหนึ่งพิกัดที่ต้องแวะมาถ่ายรูปกันครับ

23. Hakata Christmas Market

Hakata Christmas Market จัดที่หน้าสถานีรถไฟฮากาตะ (JR Hakata Station) ของเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) สวยไม่แพ้กับตลาดคริสต์มาสในยุโรปเลยครับ ภายในงานประดับตกแต่งไฟระยิบระยับ มีร้านค้าออกร้านขายน่ารักๆ เยอะเลย ทั้งของกระจุกกระจิกน่ารักๆ ตกแต่งต้นคริสต์มาส ลูกแก้วหิมะสโนว์บอล เทียนหอม แก้วไวน์ งานเซรามิค ที่วางเทียน และยังมีขายอาหาร เครื่องดื่มช็อกโกแลตร้อน ไวน์ร้อน ชูโรส ไส้กรอก ฯลฯ บรรยากาศดี ชิลดี เหมาะมานั่งจิบเครื่องดื่มฟังเพลงชิวๆ ท่ามกลางอากาศเย็นๆ ที่นี่เป็นตลาดคริสต์มาสที่น่าเดินมากๆ ของคิวชูเลยครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม
พิกัด : https://goo.gl/maps/FaBUZu86iu4EigXY6

24. REC COFFEE สาขา Hakata Marui Shop

ร้านกาแฟ Specialty Coffee แบรนด์ดังของเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) มีชื่อมาจากเจ้าของร้าน REC Coffee ได้รางวัลรองชนะเลิศการแข่งบาริสต้าอันดับ 1 ของโลก “World Barista Championship 2016” และตำแหน่งแชมป์บาริสต้าของญี่ปุ่น บาริสต้าให้คำแนะนำ ช่วยเหลือดี เลยต้องแวะมาจัดเมล็ดกาแฟดีๆ ทั้ง Geisha Blend, Hakata Blend, Holiday Blend กลับบ้านสักหน่อยครับ

พอได้แค่แกะปากถุง กลิ่นหอมก็พุ่งออกมาเลย รสชาติกาแฟหอมอวลๆ เลิฟมากกกกก!!

ข้อมูลเพิ่มเติม
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/EBk8tLeHxG2HNXAU7

25. Ichiran Ramen สาขา Tenjin Nishidori

มาถึงในเมืองฟุกุโอกะ (Fukuoka) ก็ต้องมาลองต้นกำเนิดของ Ichiran Ramen!! ราเมนข้อสอบโดดเด่นด้วยซุปทงคตสึ ซุปกระดูกหมูมีกลิ่นหอมสีขาวเข้มข้น เนื้อหมูชาชูเนื้อนุ่มแทบละลายในปาก เส้นเหนียวนุ่มสไตล์ฮากาตะ และซอสแดงสูตรลับ โต๊ะจะแบ่งเป็นช่องคูหาเล็กๆ เหมือนกำลังทำข้อสอบ เราจะเลือกความนุ่มของเส้น ความเผ็ดของน้ำซุป ความเข้มข้นของน้ำซุป ใส่ต้นหอม กระเทียม ฯลฯ

ข้อมูลเพิ่มเติม
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/6RNCCSWja2GAiNP56