ในวัยเด็ก-วัยรุ่น ก็แอบฝันล่ะครับ ว่าสักวันจะได้ไปเที่ยวยังสถานที่ที่เราชื่นชอบ ไปกินราเม็ง ไปกินซูชิ ไปเที่ยวให้ทั่วคันโต คันไซ แต่พอโตขึ้น ทำงาน มีเรื่องรับผิดชอบเยอะ ฝันที่เคยมีก็ค่อยๆ เบาบาง ค่อยๆ จางหายไปจากความทรงจำ อาจมีนึกถึงบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่จริงจัง จนกระทั่ง…
“หมวยกำลังจะไปเที่ยวญี่ปุ่นกับที่บ้าน จะไปเที่ยวแถบคันไซด้วย อีพริ้งช่วยหมวยวางแผนทริปหน่อย”
ผมตอบรับยัยหมวยว่าจะช่วย โดยที่ไม่รู้เลยว่าในหัวมีข้อมูลเกี่ยวกับคันไซอยู่พอสมควร แล้วยิ่งได้ทำข้อมูลทริปไปเรื่อยๆ ความฝันในวันเก่าก็ค่อยๆ พรั่งพรูขึ้นเรื่อยๆ ฝันที่เคยจางก็กลับมาเด่นชัดขึ้นอีกครั้ง
พอยัยหมวยกลับมาเล่าทริปคันไซให้ผมฟัง ใจผมก็ร่ำร้องให้ผมมาตามฝันของตัวเอง จนเกิดทริป “ตามฝันถิ่นคันไซ” ขึ้นนั่นเอง
วันนี้ผมจะขอพาเพื่อนๆ ไปเจาะลึกอดีตเมืองหลวงของญี่ปุ่นแห่งนี้ในสไตล์ของพวกเรากันครับ ตามพวกเรามาเลย
โปรแกรมเจาะลึก Kyoto ในวันนี้ คือ
- ไปหามื้อเช้าหม่ำ (แน่นอนก็กองทัพเดินด้วยท้อง)
- ไปเที่ยววัด Byodo-in ไปตามหามรดกโลกหลังเหรียญ 10 เยน
- ไปหม่ำข้าวหน้าปลาไหลในตำนาน ใกล้ๆ กับศาลเจ้า Fushimi Inari (ฟูชิมิ อินาริ)
- เที่ยวศาลเจ้าฟู Fushimi Inari ไปดูทางเดินโทะริอิ 1,000 ต้นให้เห็นกับตา
- ไปเที่ยววัดน้ำใส (Kiyomizu-dera คิโยมิสึเดระ) ไปเดินเที่ยวถนนสายกาน้ำชา
- ปิดท้ายด้วยการผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ด้วยการแช่ออนเซ็นและนอนเรียวกังให้สมใจอยากสักคืน
มาเดินทางไปพร้อมๆ กับพวกเรากันนะครับ
หลังจากเช็คเอาท์และฝากกระเป๋าแล้ว ผมกับแฟนก็เดินข้ามถนนกลับมายังสถานี JR Kyoto เพื่อหามื้อเช้าทานครับ เวลาเช้ามากๆ แบบนี้ ที่สถานี JR Kyoto มีร้านอาหารที่เปิดยามเช้าไว้ให้บริการหลายร้านเลย
จากการหาข้อมูล เราได้ข้อสรุปว่าวันนี้น่าจะลองซื้อบัตร Kyoto one day pass เพื่อใช้บริการขนส่งมวลชนใน Kyoto ด้วยราคาเหมาครับ (ใช้ได้ทั้งรถไฟ JR รถเมล์ รถใต้ดิน) ดังนั้นจัดไปเลยครัส
หลังจากได้ตั๋ว Kyoto one day pass แล้ว เราก็มุ่งหน้าไปยังโปรแกรมแรกของวันนี้กัน นั่นคือการไปเยือนวัดเบียวโดอิน (Byodo-in Temple) มรดกโลกสำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่ปรากฏอยู่ด้านหลังเหรียญ 10 เยนนั่นเอง
การเดินทางจากสถานี JR Kyoto นั้น สะดวกมากครับ ให้เรานั่งรถไฟ JR สาย Nara มาลงที่สถานี Uji (ใช้เวลาประมาณ 25-30 นาที) จากนั้นเดินจากสถานี Uji ผ่านย่านการค้าต่อไปอีกประมาณ 10 นาที ก็ถึงแล้วครับ
แต่ขอบอกไว้ ณ จุดนี้เลยว่าการจะเดินผ่านย่านการค้านี้ให้ได้ใน 10 นาทีเนี่ย เป็นเรื่องที่โหดมาก เพราะย่านการค้านี้ได้ชื่อว่าเป็นถนนชาเขียวครับ ตลอดทางมีไอศครีม ขนม ของกินต่างๆ ที่เอาไว้ดักพวกเราอยู่หลายจุดเลยทีเดียว อย่างน้อยๆ ต้องมี 30 นาทีล่ะครับ กว่าจะตัดใจฝ่าออกไปได้ 5555
หลังจากฝ่าดงร้านชาเขียวออกมาแล้ว พวกเราก็มาถึง Byodo-in Temple กันแล้วครับ
วัด Byodo-in นี้แต่เดิมเป็นบ้านของตระกูลฟูจิวาระ ต่อมาได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นวัดในศาสนาพุทธในปี ค.ศ. 1052 ตัวอาคารหลักของวัด มีชื่อเรียกว่า “ศาลนกอมตะ” หรือ อะมิดะโด เป็นหอหลักของวัดที่ถูกสร้างขึ้นจากไม้ เพื่อเลียนแบบวังแห่งพระพุทธเจ้าบนสรวงสวรรค์ อาคารทาสีแดง รูปทรงสวยงาม ตัวอาคารมีลักษณะคล้ายนกที่กำลังจะกางปี จึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “หอแห่งนกอมตะ” ยิ่งเมื่อได้เห็นเงาที่ปรากฏบนผิวน้ำในสระขนาดใหญ่ตรงหน้า จะยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนนกที่กำลังจะทะยานขึ้นฟ้าเลยทีเดียว
ภายในตัวอาคารจะมีพระพุทธรูปไม้แกะสลักของ “พระอมิตาภพุทธะ” ประดิษฐานอยู่ มีรายละเอียดสวยงามมากครับ เสียดายที่ในวันที่ไปนั้นคนเข้าชมพระพุทธรูปเยอะพอสมควรเลย ผมกับแฟนเลยขอชมวิวอยู่ด้านนอกแทนครับ แฮะๆ
วัด Byodo-in เปิดทำการตั้งแต่เวลา 8:30 – 17:30 (ไม่เสียค่าเข้าชมหลัง 17:15)
การเดินทาง : เดินทางด้วยรถไฟสาย JR Nara ลงที่สถานี JR Uji แล้วเดิน 10 นาที หรือจะเดินทางด้วยรถไฟสาย เคฮัง อุจิ ลงที่สถานีเคฮัง อุจิ แล้วเดิน 10 นาที
ค่าเข้าชม :
- ผู้ใหญ่ 600 เยน
- นักเรียนชั้นมัธยมต้น 400 เยน
- นักเรียนชั้นประถม 300 เยน
เสร็จจากเที่ยวชมวัด Byodo-in แล้ว ก็ได้เวลาออกมาลิ้มชิมรสผลิตภัณฑ์จากชาเขียวกันสักเล็กน้อย ไหนๆ ก็มาถึงถนนชาเขียวแล้วนี่ครัส เราสองคนเลือกชิมโดรายากิชาเขียวกันครับ ขอบอกเลยว่ารสชาติอร่อยมาก หอม หวานกำลังดีเลยล่ะ
อันที่จริงอยากทานเยอะกว่านี้ แต่ก็จำเป็นต้องเก็บท้องไปกินข้าวหน้าปลาไหลในตำนาน ที่สถานี Inari ครับ ร้านนี้คุณแฟนเค้าขีดเส้นใต้ไว้ 10 เส้นเลย ว่าเป็นร้านที่ต้องมาลองให้ได้!!! ถ้างั้นเราไปลองดูกันครับว่าจะสุโค่ยแค่ไหน
จากสถานี Uji เราใช้เวลาอีกเพียงแค่ 20 นาที ก็จะไปถึงสถานี Inari ครับ มาถึงตรงนี้หลายคนอาจรู้สึกว่าชื่อสถานีดูคุ้นหู ใช่ครับ สถานีนี้คือสถานีที่จะพาเราไปเที่ยวศาลเทพเจ้าจิ้งจอง Fushimi Inari นั่นเอง
เมื่อออกมาจากสถานีแล้ว เราจะเห็นศาลเจ้า Fushimi Inari อยู่ห่างไปแค่เพียงถนนเส้นเล็กๆ กั้น แต่เดี๋ยวก่อนครับ ให้เราเลี้ยวซ้ายจากหน้าสถานี แล้วเดินตรงไปแค่ 100 เมตร ก็จะมาถึงร้านปลาไหลในตำนานกันแล้ว!!!!!! จะช้าอยู่ใย รีบไปกันเลยสิครัส!!!
ร้าน Nezameya เป็นร้านที่ดีเด่นในเรื่องปลาไหลครับ ที่หน้าร้านจะมีเตาย่างปลาไหลส่งกลิ่นหอมเตะจมูกเป็นอย่างมาก เชื่อไหมครับว่าร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1540 ในสมัย Hideyoshi Toyotomi หรือเกือบ 500 ปีมาแล้ว!!!! ของขึ้นชื่อของที่ร้านก็ได้แก่ ข้าวหน้าปลาไหลย่างและอินาริซูชิครับ ว่าแล้วก็ต้องลองเมนูเด็ดของที่ร้านก่อนเลย
เมนูที่ผมสั่งเป็นดังนี้นะครับ
- Inarizushi หรือ อินาริซูชิ
- Unagi don หรือ ข้าวหน้าปลาไหล
- Nishin soba หรือ โซบะซุบปลาแฮร์ริ่ง
- ชาเขียวร้อน (อันนี้ฟรี)
ประสบการณ์หลังมื้ออาหาร : พูดเลยครับว่าอร่อย สำหรับข้าวหน้าปลาไหลนั้น เนื้อปลาไม่คาว ย่างกำลังดี หอมมาก ชุ่มซอสรสชาติเข้มข้น แฟนผมทานหมดด้วยความรวดเร็ว สำหรับอินาริซูชินั้นก็อร่อยครับ ฟองเต้าหูบางกำลังดีไม่ขาดง่าย ห่อหุ้มข้าวที่ผ่านการปรุงรสมาแล้วได้อย่างดี ส่วน Nishin soba นั้น เส้นเด้ง เหนียวนุ่ม เนื้อปลาไม่ยุ่ย รู้สึกได้ถึงความหวานของเนื้อปลาสด เมื่อทานกับน้ำซุบแล้วสดชื่นดีมากครับ
สนนราคาค่าอาหารแค่ 3,330 เยน หรือประมาณ 1,000 บาทครับ ลองคิดดูนะครับ ว่าทานข้าวหน้าปลาไหลในเมืองไทย เราจะโดนกันไปคนละกี่บาท ดังนั้นร้านนี้คุ้มด้วยประการทั้งปวงครัส
ร้านเปิดเวลา 10.00-18.00 น แนะนำให้แวะมาทานก่อนเข้าไปเที่ยว Fushimi Inari นะครับ จะได้เดินย่อยไปในตัวด้วย 55555
พออิ่มออกจากร้านมาได้เดี๋ยวเดียว ผมก็เหลือไปเห็นเตาย่างเนื้อสเต็กโกเบครับ ควันขโมง หอมฉุยเลย ด้วยความที่เป็นมนุษย์กินเนื้อ ก็เลยอดไม่ได้ที่จะไปลองสักหน่อย พอสบตาคุณลุงเจ้าของร้าน คุณลุงก็พูดขึ้นมาเลยว่า “Kobe beef” ผมก็ไม่รอช้า ซื้อเลยครับ!!!!
ขณะกำลังรอย่างให้ได้ที่ ก็คุยกับคุณลุงไปด้วย เป็นภาษาอังกฤษ ฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้บ้าง แต่พอลุงรู้ว่าเรามาจากเมืองไทยเท่านั้นแหล่ะ คุณลุงก็คว้าไอเท็มลับขึ้นมาทันที !!!!! มันก็คือ… “มือตบ” ครับพี่น้องงงง ใครเคยผ่านช่วงชุมนุมใหญ่มาแล้ว คงจะรู้จัก “มือตบ-ตีนตบ” กันเป็นอย่างดี ใช่ละครับ คุณลุงแกเพิ่งกลับจากไปเที่ยวเมืองไทยมา สงสัยเราคงจะมี “มือตบไทยแลนด์” เป็นสินค้าของฝากชิ้นใหม่แน่ๆ เลย 555555
มัวแต่ฮาจนออกนอกเรื่องไปนิด แต่อยากจะบอกว่าเนื้อย่างโกเบเสียบไม้ของคุณลุงนั้น อร่อยมากๆ เลยครับ ใครที่ชอบทานเนื้อแต่ไม่มีเวลาไปโกเบ ลองแวะไปอุดหนุนคุณลุงมือตบคนนี้ได้เลยน๊า
เอาล่ะ ตอนนี้หนังท้องตึง (มากๆ) แล้ว ก็ได้เวลาไปเดินย่อยอาหารกันแล้วล่ะครับ เรากลับไปเที่ยวศาลเจ้า Fushimi Inari กันดีกว่าครับ
ศาลเจ้า Fushimi Inari (ฟุชิมิ อินะริ) หรือศาลเทพเจ้าจิ้งจอกนี้ เป็นศาลเจ้าชินโต ที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพจิ้งจองหรือเทพอินะริ อันเป็นเทพแห่งกสิกรรม ศาลเจ้านี้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ตัวศาลเจ้าตั้งอยู่บนพื้นที่เชิงเขาที่ระดับความสูง 233 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งภูเขาก็มีนามเดียวกันคือภูเขาอินะริ ซึ่งรอบๆ เชิงเขานี้ยังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าเล็กๆ อีกมากมายตลอดระยะทาง 4 กิโลเมตร ซึ่งสามารถเดินเท้าและเยี่ยมชมได้โดยใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง
ศาลเจ้าแห่งนี้ถือเป็นศาลใหญ่ (大社 ไทฉะ) อันเป็นต้นสังกัดของบรรดาศาลเจ้าลูก (分社 บุนฉะ) ที่บูชาเทพอินะริ ซึ่งทั่วประเทศญี่ปุ่นมีอยู่กว่า 32,000 แห่ง
(cr : วิกิพีเดีย)
สิ่งแรกที่เห็นเมื่อก้าวมาถึงศาลเจ้าแห่งนี้ก็คือ รูปปั้นเทพจิ้งจอกและโทะริอิสีส้มขนาดใหญ่ครับ โดยเฉพาะโทะริอิที่มีมากมายเป็นพันๆ ต้น เรียงรายเป็นซุ้มทางเดินลึกเข้าไปสุดลูกหูลูกตา
ซึ่งหากเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ เราจะพบกับทางแยกที่จะพาเราขึ้นไปยังจุดชมวิว “ยทสุซึจิ (Yotsutsuji)” ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่มองเห็น Kyoto และภูเขาที่รายล้อมได้ทั้งหมดเลยครับ ใช้เวลาเดินประมาณ 30-40 นาที เท่านั้นเองครับ ใครมีเวลา ลองแวะมานั่งชมวิวยามเย็นบริเวณนี้ดูนะครับ
น่าเสียดายที่ผมกับแฟนวางแผนจะไปเก็บแสงเย็นที่วัดน้ำใส ดังนั้นรอบนี้เลยไม่มีภาพแสงเย็นที่นี่มาให้ได้ชมกันครับ
แต่ถ้าหากใครต้องการเดินชมทั้งเขาละก็ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง กับระยะทางเดินประมาณ 4-5 กิโลเมตรครับ
ศาลเจ้าแห่งนี้เปิดตลอด 24 ชั่วโมง และไม่มีค่าธรรมเนียมในการเข้าชมนะครับ
ได้เดินย่อยอาหารและถ่ายภาพกันไปชุดใหญ่แล้ว ตอนนี้ได้เวลาออกเดินทางไปยังที่หมายสุดท้ายแล้วครับ นั่นคือ วัด Kiyomizu-dera หรือวัดน้ำใสที่คนไทยรู้จักนั่นเองครับ
เพื่อประหยัดเวลา เราทั้งคู่จึงเลือกเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินสาย Keihan Line จากสถานี Fushimi-Inari มาลงที่สถานี Kiyomizu-Gojo แล้วค่อยต่อรถเมล์ (หรือเดิน) ประมาณ 20 นาที ระยะทาง 1.8 กม. เพื่อไปยังวัดน้ำใสครับ
การเดินทาง : เมื่อเดินออกมาจากศาลเจ้า จะเห็นสถานี JR Inari ให้เราเดินเลี้ยวขวาไปทางร้านข้าวหน้าปลาไหล จากนั้นเมื่อเดินมาถึงมุมถนน (หน้าร้านข้าวหน้าปลาไหล) ก็ให้เลี้ยวซ้ายแล้วเดินตรงไปประมาณ 100 เมตร ก็จะถึงสถานีรถไฟใต้ดิน Fushimi-Inari แล้วครับ ให้ซื้อตั๋วรถไฟแล้วก็เดินทางต่อได้เลย (บัตร One day pass ใช้กับรถไฟใต้ดินสายนี้ไม่ได้นะครับ เนื่องจากเป็นของเอกชน)
สายรถเมลล์ที่ผ่านมี 100,202,206,207 นั่งมาลงที่ป้าย Kiyomizu-Michi
เมื่อเดินมาถึงบริเวณทางขึ้นเนินเขาไปยังวัดน้ำใส เราจะพบทางเดินที่ปูด้วยหินและร้านขายของที่ระลึกมากมายตลอดสองข้างทาง บริเวณนี้นั้นแต่เดิมเป็นย่านที่ขายถ้วยชาเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งคนส่วนใหญ่เรียกถนนเส้นนี้ว่า “ถนนกาน้ำชา” แต่ต่อมาเมื่อมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวยังวัดน้ำใสมากขึ้น ร้านค้าบริเวณนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นร้านขายขนม ของที่ระลึก อาทิ ชุดกิโมโน ตุ๊กตา เครื่องราง ไปในที่สุด
จะยังคงหลงเหลือร้านขายชุดน้ำชาเครื่องปั้นดินเผาอยู่บ้างแค่บางร้านครับ ผมแนะนำให้ขึ้นไปเที่ยววัดน้ำใสก่อนครับ แล้วค่อยลงมาเดินดูของ ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องแบกของเยอะ หมดสนุกก่อนจะได้เที่ยววัดน้ำใสแน่ๆ ครับ
เมื่อเดินมาได้สักประมาณ 1 กม. เราจะเห็นซุ้มประตูสีแดงอมส้มขนาดใหญ่ นั่นคือทางเข้าวัดครับ ให้เดินต่อมาอีกระยะจะเจอกับทางเข้าวัดจริง (มีป้ายบอกตลอดทาง ไม่ต้องกลัวหลงนะ)
วัดน้ำใสนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นยุคเฮอัน ประมาณปี ค.ศ. 798 ซึ่งสิ่งก่อสร้างที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนั้นล้วนสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1633 ตามคำสั่งของ โตกุกาว่า เอมิซึ ซึ่งความน่าสนใจอยู่ที่โครงสร้างทั้งหมดนั้นไม่มีการใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว วัดนี้ถูกตั้งชื่อตามน้ำตกในบริเวณวัด ซึ่งแปลตรงตัวจากคำว่า “คิโยมิซึ” ซึ่งแปลว่า “น้ำใส” นั่นเอง
บริเวณห้องโถงกลางของวัดจะมีระเบียงไม้ขนาดใหญ่ยื่นออกมาจากหุบเขา ทำให้สามารถมองเห็นวิวของเมือง Kyoto พร้อมกับ Kyoto Tower ได้เลยครับ นอกจากนี้บริเวณใต้ห้องโถงของวัดน้ำใส ยังมีน้ำตกสามสายไหลลงมาที่สระน้ำ ซึ่งก็เชื่อกันว่าถ้าใครได้ดื่มน้ำจากธารน้ำใส 3 สายนี้แล้วจะสมปรารถนาไว้ครับ
น่าเสียดายที่ในวันที่ผมไปนั้นทางวัดปิดบูรณะอาคารหลายจุดเลย ทำให้วิวที่ถ่ายมาได้ยังไม่สุดเท่าที่ต้องการ ตอนนี้กำลังวางแผนจะไปซ่อมมุมสวยๆ นี้อีกครั้งในช่วงเดือนตุลาคมนี้ครับ
เสร็จจากวัดน้ำใส เราก็ย้อนกลับไปเดินเล่นบริเวณถนนสายกาน้ำชาครับ ตรงจุดนี้ผมมีมุมแนะนำให้เพื่อนๆ ลองเดินเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ ขวามือแรกหลังออกมาจากวัดน้ำใสครับ ถนนสายนี้เรียกว่าถนน Higashiyama ครับ ซึ่งเป็นถนนที่ยังคงสไตล์การตกแต่งแบบญี่ปุ่นโบราณเอาไว้
ตลอดทางจะมีร้านอาหาร ร้านขนม และร้านขายของที่ระลึกมากมาย เหมาะแก่การเดินชมบรรยากาศไปพร้อมๆ กับถ่ายภาพครับ และหากเดินลงไปอีกนิดเราจะเห็นศาลเจ้า Yasaka ที่มีเจย์ดีทรง 8 เหลี่ยมสูงๆ อยู่ครับ มุมนี้เป็นมุมสวยมุมนึงที่ไม่ควรพลาดนะครับ
เสร็จจากเที่ยวบริเวณวัดน้ำใสแล้ว ตอนนี้บอกเลยว่าท้องร้อง 5555555 ผมกับแฟนเลยรีบลงมาขึ้นรถเมล์กลับไปยังสถานี JR Kyoto เพื่อไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม Ibis จากนั้นก็ไปหาราเม็งอร่อยๆ ทานเป็นมื้อเย็นกัน ก่อนที่จะเดินทางไปยังสถานี JR Osaka เพื่อต่อรถไฟไปยัง Amami Onsen เพื่อเข้าพักที่ Nanten-en ซึ่งเป็นที่พักสไตล์เรียวกังของเราในคืนนี้ครับ
สำหรับการเดินทางไปยัง Anami Onsen นั้นผมขอไม่ลงรายละเอียดมากนะครับ เพราะต่อรถหลายต่อเลย แต่ถ้าเพื่อนๆ มีเวลาก็ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์นี้ครับ http://www.e-oyu.com/
เรามาถึงที่ Nanten-en กันช้ากว่าเวลาที่นัดกับเจ้าหน้าที่ไว้ แต่พอเข้าไปถึงเท่านั้นล่ะครับ ทุกคนก็กรูกันเข้ามาต้อนรับอย่างดี หลังจากนั้น ผจก. เรียวกังก็พาเราไปยังห้องพัก พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ออนเซ็น นัดเวลาอาหารเช้า จากนั้นเธอก็บอกลาให้เราได้พักผ่อนกันตามสบายครับ
เรียกว่าวันนี้ทั้งวันพวกเราเที่ยวกันจนอิ่มเอมทั้งอาหารและที่เที่ยวเลยครับ คงต้องขอปิดท้ายทริป “ตามฝันถิ่นคันไซ” ของพวกเราทั้งคู่แต่เพียงเท่านี้นะครับ สำหรับใครที่สงสัยว่าเอ๊ะ ทำไมไม่พูดถึงการเที่ยวใน Osaka เลย ผมคงต้องขอเอาเรื่องราวของ Osaka ไปลงเป็น mini review ใน facebook page แทนนะครับ ฝากไปติดตามพวกเราทั้งคู่ในเพจ “หนีงานไปเที่ยว” ใน facebook ด้วยนะคร๊าบบบบ
ขอบคุณที่ติดตามชมมาโดยตลอด ไว้พบกับรีวิวทริปอื่นๆ จากเราทั้งคู่ได้ในโอกาสหน้าครับ
ข้าวหน้าปลาไหลน่ากินมากครับ เมื่อไหร่จะมีโอกาสได้ไปเที่ยวญี่ปุ่นบ้างหนอ… ^^