fushimi inari

ในวัยเด็ก-วัยรุ่น ก็แอบฝันล่ะครับ ว่าสักวันจะได้ไปเที่ยวยังสถานที่ที่เราชื่นชอบ ไปกินราเม็ง ไปกินซูชิ ไปเที่ยวให้ทั่วคันโต คันไซ แต่พอโตขึ้น ทำงาน มีเรื่องรับผิดชอบเยอะ ฝันที่เคยมีก็ค่อยๆ เบาบาง ค่อยๆ จางหายไปจากความทรงจำ อาจมีนึกถึงบ้างเป็นครั้งคราว แต่ก็ไม่จริงจัง จนกระทั่ง…

“หมวยกำลังจะไปเที่ยวญี่ปุ่นกับที่บ้าน จะไปเที่ยวแถบคันไซด้วย อีพริ้งช่วยหมวยวางแผนทริปหน่อย” 

ผมตอบรับยัยหมวยว่าจะช่วย โดยที่ไม่รู้เลยว่าในหัวมีข้อมูลเกี่ยวกับคันไซอยู่พอสมควร แล้วยิ่งได้ทำข้อมูลทริปไปเรื่อยๆ ความฝันในวันเก่าก็ค่อยๆ พรั่งพรูขึ้นเรื่อยๆ ฝันที่เคยจางก็กลับมาเด่นชัดขึ้นอีกครั้ง

พอยัยหมวยกลับมาเล่าทริปคันไซให้ผมฟัง ใจผมก็ร่ำร้องให้ผมมาตามฝันของตัวเอง จนเกิดทริป “ตามฝันถิ่นคันไซ” ขึ้นนั่นเอง

KNP_5456

วันนี้ผมจะขอพาเพื่อนๆ ไปเจาะลึกอดีตเมืองหลวงของญี่ปุ่นแห่งนี้ในสไตล์ของพวกเรากันครับ ตามพวกเรามาเลย

โปรแกรมเจาะลึก Kyoto ในวันนี้ คือ

  1. ไปหามื้อเช้าหม่ำ (แน่นอนก็กองทัพเดินด้วยท้อง)
  2. ไปเที่ยววัด Byodo-in ไปตามหามรดกโลกหลังเหรียญ 10 เยน
  3. ไปหม่ำข้าวหน้าปลาไหลในตำนาน ใกล้ๆ กับศาลเจ้า Fushimi Inari (ฟูชิมิ อินาริ)
  4. เที่ยวศาลเจ้าฟู Fushimi Inari ไปดูทางเดินโทะริอิ 1,000 ต้นให้เห็นกับตา
  5. ไปเที่ยววัดน้ำใส (Kiyomizu-dera คิโยมิสึเดระ) ไปเดินเที่ยวถนนสายกาน้ำชา
  6. ปิดท้ายด้วยการผ่อนคลายความเหนื่อยล้า ด้วยการแช่ออนเซ็นและนอนเรียวกังให้สมใจอยากสักคืน

มาเดินทางไปพร้อมๆ กับพวกเรากันนะครับ

map

แผนที่สถานที่น่าสนใจใน Kyoto

หลังจากเช็คเอาท์และฝากกระเป๋าแล้ว ผมกับแฟนก็เดินข้ามถนนกลับมายังสถานี JR Kyoto เพื่อหามื้อเช้าทานครับ เวลาเช้ามากๆ แบบนี้ ที่สถานี JR Kyoto มีร้านอาหารที่เปิดยามเช้าไว้ให้บริการหลายร้านเลย

IMG_1377_1024

งานอาร์ตเก๋ๆ ด้านหน้าโรงแรม

 

IMG_1384_1024

มื้อเช้า จัดเบาๆ ก่อน วันนี้ต้องกินอีกเยอะเลย

 

จากการหาข้อมูล เราได้ข้อสรุปว่าวันนี้น่าจะลองซื้อบัตร Kyoto one day pass เพื่อใช้บริการขนส่งมวลชนใน Kyoto ด้วยราคาเหมาครับ (ใช้ได้ทั้งรถไฟ JR รถเมล์ รถใต้ดิน) ดังนั้นจัดไปเลยครัส

IMG_1385_1024

ซื้อบัตร One Day Pass ได้ที่นี่ครับ Kyoto Tourist Information Center

 

IMG_1388_1024

ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว มีแผนที่ไว้บริการเพียบเลย

 

IMG_1397_1024

หน้าตาบัตร One day pass

หลังจากได้ตั๋ว Kyoto one day pass แล้ว เราก็มุ่งหน้าไปยังโปรแกรมแรกของวันนี้กัน นั่นคือการไปเยือนวัดเบียวโดอิน (Byodo-in Temple) มรดกโลกสำคัญแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ที่ปรากฏอยู่ด้านหลังเหรียญ 10 เยนนั่นเอง

IMG_1415_1024

วัดนี้ถูกนำไปแสดงไว้หลังเหรียญ 10 เยนเชียวนะ มันต้องสำคัญสิน่า

 

IMG_1418_1024

การเดินทางจากสถานี JR Kyoto นั้น สะดวกมากครับ ให้เรานั่งรถไฟ JR สาย Nara มาลงที่สถานี Uji (ใช้เวลาประมาณ 25-30 นาที) จากนั้นเดินจากสถานี Uji ผ่านย่านการค้าต่อไปอีกประมาณ 10 นาที ก็ถึงแล้วครับ

Kyoto-to-Uji

แต่ขอบอกไว้ ณ จุดนี้เลยว่าการจะเดินผ่านย่านการค้านี้ให้ได้ใน 10 นาทีเนี่ย เป็นเรื่องที่โหดมาก เพราะย่านการค้านี้ได้ชื่อว่าเป็นถนนชาเขียวครับ ตลอดทางมีไอศครีม ขนม ของกินต่างๆ ที่เอาไว้ดักพวกเราอยู่หลายจุดเลยทีเดียว อย่างน้อยๆ ต้องมี 30 นาทีล่ะครับ กว่าจะตัดใจฝ่าออกไปได้ 5555

IMG_1439_1024

เราจะเห็นร้านขายขนมที่ทำจากชาเขียวแบบนี้ตลอดทางเลย ยั่วยวนมาก

 

KNP_4535

ชอบการตกแต่งหน้าร้านของย่านนี้มากครับ น่ารักมากเลย

 

KNP_4563

สตรอว์เบอร์รี่ 580 เยนเท่านั้น !!! อร่อยและลูกใหญ่มาก

 

KNP_4562

มีของสดไว้จำหน่ายด้วย สดใหม่มาก

 

KNP_4540

เดินถ่ายภาพกันเพลินเลย

หลังจากฝ่าดงร้านชาเขียวออกมาแล้ว พวกเราก็มาถึง Byodo-in Temple กันแล้วครับ

KNP_4566

วัด Byodo-in นี้แต่เดิมเป็นบ้านของตระกูลฟูจิวาระ ต่อมาได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นวัดในศาสนาพุทธในปี ค.ศ. 1052 ตัวอาคารหลักของวัด มีชื่อเรียกว่า “ศาลนกอมตะ” หรือ อะมิดะโด เป็นหอหลักของวัดที่ถูกสร้างขึ้นจากไม้ เพื่อเลียนแบบวังแห่งพระพุทธเจ้าบนสรวงสวรรค์ อาคารทาสีแดง รูปทรงสวยงาม ตัวอาคารมีลักษณะคล้ายนกที่กำลังจะกางปี จึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “หอแห่งนกอมตะ” ยิ่งเมื่อได้เห็นเงาที่ปรากฏบนผิวน้ำในสระขนาดใหญ่ตรงหน้า จะยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนนกที่กำลังจะทะยานขึ้นฟ้าเลยทีเดียว

KNP_4643

เหมือนนกกางปีกไหม? ก็แล้วแต่จะมโนนะครับพี่น้อง 555 แต่สวยมากๆ

 

KNP_4684-HDR

มุมมหาชนต้องไม่พลาด

 

KNP_4676-HDR_2

ภายในตัวอาคารจะมีพระพุทธรูปไม้แกะสลักของ “พระอมิตาภพุทธะ” ประดิษฐานอยู่ มีรายละเอียดสวยงามมากครับ เสียดายที่ในวันที่ไปนั้นคนเข้าชมพระพุทธรูปเยอะพอสมควรเลย ผมกับแฟนเลยขอชมวิวอยู่ด้านนอกแทนครับ แฮะๆ

วัด Byodo-in เปิดทำการตั้งแต่เวลา 8:30 – 17:30 (ไม่เสียค่าเข้าชมหลัง 17:15)
การเดินทาง : เดินทางด้วยรถไฟสาย JR Nara ลงที่สถานี JR Uji แล้วเดิน 10 นาที หรือจะเดินทางด้วยรถไฟสาย เคฮัง อุจิ ลงที่สถานีเคฮัง อุจิ แล้วเดิน 10 นาที 

ค่าเข้าชม : 

  • ผู้ใหญ่ 600 เยน
  • นักเรียนชั้นมัธยมต้น 400 เยน
  • นักเรียนชั้นประถม 300 เยน

เสร็จจากเที่ยวชมวัด Byodo-in แล้ว ก็ได้เวลาออกมาลิ้มชิมรสผลิตภัณฑ์จากชาเขียวกันสักเล็กน้อย ไหนๆ ก็มาถึงถนนชาเขียวแล้วนี่ครัส เราสองคนเลือกชิมโดรายากิชาเขียวกันครับ ขอบอกเลยว่ารสชาติอร่อยมาก หอม หวานกำลังดีเลยล่ะ

KNP_4742

อันที่จริงอยากทานเยอะกว่านี้ แต่ก็จำเป็นต้องเก็บท้องไปกินข้าวหน้าปลาไหลในตำนาน ที่สถานี Inari ครับ ร้านนี้คุณแฟนเค้าขีดเส้นใต้ไว้ 10 เส้นเลย ว่าเป็นร้านที่ต้องมาลองให้ได้!!! ถ้างั้นเราไปลองดูกันครับว่าจะสุโค่ยแค่ไหน

KNP_4770

จากสถานี Uji เราใช้เวลาอีกเพียงแค่ 20 นาที ก็จะไปถึงสถานี Inari ครับ มาถึงตรงนี้หลายคนอาจรู้สึกว่าชื่อสถานีดูคุ้นหู ใช่ครับ สถานีนี้คือสถานีที่จะพาเราไปเที่ยวศาลเทพเจ้าจิ้งจอง Fushimi Inari นั่นเอง

Byodo-in-to-Inari

เมื่อออกมาจากสถานีแล้ว เราจะเห็นศาลเจ้า Fushimi Inari อยู่ห่างไปแค่เพียงถนนเส้นเล็กๆ กั้น แต่เดี๋ยวก่อนครับ ให้เราเลี้ยวซ้ายจากหน้าสถานี แล้วเดินตรงไปแค่ 100 เมตร ก็จะมาถึงร้านปลาไหลในตำนานกันแล้ว!!!!!! จะช้าอยู่ใย รีบไปกันเลยสิครัส!!!

Unagi-Restaurant

ร้านอยู่ตรงนี้เลยครับ

ร้าน Nezameya เป็นร้านที่ดีเด่นในเรื่องปลาไหลครับ ที่หน้าร้านจะมีเตาย่างปลาไหลส่งกลิ่นหอมเตะจมูกเป็นอย่างมาก เชื่อไหมครับว่าร้านนี้เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1540 ในสมัย Hideyoshi Toyotomi หรือเกือบ 500 ปีมาแล้ว!!!! ของขึ้นชื่อของที่ร้านก็ได้แก่ ข้าวหน้าปลาไหลย่างและอินาริซูชิครับ ว่าแล้วก็ต้องลองเมนูเด็ดของที่ร้านก่อนเลย

KNP_4821

เมนูที่ผมสั่งเป็นดังนี้นะครับ

  1. Inarizushi หรือ อินาริซูชิ
  2. Unagi don หรือ ข้าวหน้าปลาไหล
  3. Nishin soba หรือ โซบะซุบปลาแฮร์ริ่ง
  4. ชาเขียวร้อน (อันนี้ฟรี)

 

KNP_4826

มันชุ่มฉ่ำมากพูดเลย

 

 

IMG_1448_1024

ประสบการณ์หลังมื้ออาหาร : พูดเลยครับว่าอร่อย สำหรับข้าวหน้าปลาไหลนั้น เนื้อปลาไม่คาว ย่างกำลังดี หอมมาก ชุ่มซอสรสชาติเข้มข้น แฟนผมทานหมดด้วยความรวดเร็ว สำหรับอินาริซูชินั้นก็อร่อยครับ ฟองเต้าหูบางกำลังดีไม่ขาดง่าย ห่อหุ้มข้าวที่ผ่านการปรุงรสมาแล้วได้อย่างดี ส่วน Nishin soba นั้น เส้นเด้ง เหนียวนุ่ม เนื้อปลาไม่ยุ่ย รู้สึกได้ถึงความหวานของเนื้อปลาสด เมื่อทานกับน้ำซุบแล้วสดชื่นดีมากครับ

KNP_4815

KNP_4812

สนนราคาค่าอาหารแค่ 3,330 เยน หรือประมาณ 1,000 บาทครับ ลองคิดดูนะครับ ว่าทานข้าวหน้าปลาไหลในเมืองไทย เราจะโดนกันไปคนละกี่บาท ดังนั้นร้านนี้คุ้มด้วยประการทั้งปวงครัส

KNP_4803

ร้านเปิดเวลา 10.00-18.00 น แนะนำให้แวะมาทานก่อนเข้าไปเที่ยว Fushimi Inari นะครับ จะได้เดินย่อยไปในตัวด้วย 55555

พออิ่มออกจากร้านมาได้เดี๋ยวเดียว ผมก็เหลือไปเห็นเตาย่างเนื้อสเต็กโกเบครับ ควันขโมง หอมฉุยเลย ด้วยความที่เป็นมนุษย์กินเนื้อ ก็เลยอดไม่ได้ที่จะไปลองสักหน่อย พอสบตาคุณลุงเจ้าของร้าน คุณลุงก็พูดขึ้นมาเลยว่า “Kobe beef” ผมก็ไม่รอช้า ซื้อเลยครับ!!!!

KNP_4829

ขณะกำลังรอย่างให้ได้ที่ ก็คุยกับคุณลุงไปด้วย เป็นภาษาอังกฤษ ฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้บ้าง แต่พอลุงรู้ว่าเรามาจากเมืองไทยเท่านั้นแหล่ะ คุณลุงก็คว้าไอเท็มลับขึ้นมาทันที !!!!! มันก็คือ… “มือตบ” ครับพี่น้องงงง ใครเคยผ่านช่วงชุมนุมใหญ่มาแล้ว คงจะรู้จัก “มือตบ-ตีนตบ” กันเป็นอย่างดี ใช่ละครับ คุณลุงแกเพิ่งกลับจากไปเที่ยวเมืองไทยมา สงสัยเราคงจะมี “มือตบไทยแลนด์” เป็นสินค้าของฝากชิ้นใหม่แน่ๆ เลย 555555

KNP_4832

มัวแต่ฮาจนออกนอกเรื่องไปนิด แต่อยากจะบอกว่าเนื้อย่างโกเบเสียบไม้ของคุณลุงนั้น อร่อยมากๆ เลยครับ ใครที่ชอบทานเนื้อแต่ไม่มีเวลาไปโกเบ ลองแวะไปอุดหนุนคุณลุงมือตบคนนี้ได้เลยน๊า

เอาล่ะ ตอนนี้หนังท้องตึง (มากๆ) แล้ว ก็ได้เวลาไปเดินย่อยอาหารกันแล้วล่ะครับ เรากลับไปเที่ยวศาลเจ้า Fushimi Inari กันดีกว่าครับ

KNP_4840

ศาลเจ้า Fushimi Inari (ฟุชิมิ อินะริ) หรือศาลเทพเจ้าจิ้งจอกนี้ เป็นศาลเจ้าชินโต ที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพจิ้งจองหรือเทพอินะริ อันเป็นเทพแห่งกสิกรรม ศาลเจ้านี้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่สุดของประเทศญี่ปุ่น ตัวศาลเจ้าตั้งอยู่บนพื้นที่เชิงเขาที่ระดับความสูง 233 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งภูเขาก็มีนามเดียวกันคือภูเขาอินะริ ซึ่งรอบๆ เชิงเขานี้ยังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าเล็กๆ อีกมากมายตลอดระยะทาง 4 กิโลเมตร ซึ่งสามารถเดินเท้าและเยี่ยมชมได้โดยใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง

KNP_4843-Edit

IMG_1460_1024

แผนที่โดยรวมของ Fushimi Inari ครับ

ศาลเจ้าแห่งนี้ถือเป็นศาลใหญ่ (大社 ไทฉะ) อันเป็นต้นสังกัดของบรรดาศาลเจ้าลูก (分社 บุนฉะ) ที่บูชาเทพอินะริ ซึ่งทั่วประเทศญี่ปุ่นมีอยู่กว่า 32,000 แห่ง

(cr : วิกิพีเดีย)

สิ่งแรกที่เห็นเมื่อก้าวมาถึงศาลเจ้าแห่งนี้ก็คือ รูปปั้นเทพจิ้งจอกและโทะริอิสีส้มขนาดใหญ่ครับ โดยเฉพาะโทะริอิที่มีมากมายเป็นพันๆ ต้น เรียงรายเป็นซุ้มทางเดินลึกเข้าไปสุดลูกหูลูกตา

ซึ่งหากเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ เราจะพบกับทางแยกที่จะพาเราขึ้นไปยังจุดชมวิว “ยทสุซึจิ (Yotsutsuji)” ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่มองเห็น Kyoto และภูเขาที่รายล้อมได้ทั้งหมดเลยครับ ใช้เวลาเดินประมาณ 30-40 นาที เท่านั้นเองครับ ใครมีเวลา ลองแวะมานั่งชมวิวยามเย็นบริเวณนี้ดูนะครับ

KNP_5099

เรามักเห็นสาวๆ ใส่ชุดกิโมโนมาเดินเล่นถ่ายภาพครับ คุยกับเธอดีๆ เธอก็ยอมเป็นแบบให้นะ

 

KNP_5063

เจ้าหน้าที่ศาลเจ้าจะคอยหมั่นเดินตรวจสอบสภาพของเสาโทะริอิเสมอ

 

KNP_4908

KNP_5275

KNP_5070

น่าเสียดายที่ผมกับแฟนวางแผนจะไปเก็บแสงเย็นที่วัดน้ำใส ดังนั้นรอบนี้เลยไม่มีภาพแสงเย็นที่นี่มาให้ได้ชมกันครับ

แต่ถ้าหากใครต้องการเดินชมทั้งเขาละก็ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง กับระยะทางเดินประมาณ 4-5 กิโลเมตรครับ

KNP_5237

ศาลเจ้าแห่งนี้เปิดตลอด 24 ชั่วโมง และไม่มีค่าธรรมเนียมในการเข้าชมนะครับ

ได้เดินย่อยอาหารและถ่ายภาพกันไปชุดใหญ่แล้ว ตอนนี้ได้เวลาออกเดินทางไปยังที่หมายสุดท้ายแล้วครับ นั่นคือ วัด Kiyomizu-dera หรือวัดน้ำใสที่คนไทยรู้จักนั่นเองครับ

KNP_5412

เพื่อประหยัดเวลา เราทั้งคู่จึงเลือกเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินสาย Keihan Line จากสถานี Fushimi-Inari มาลงที่สถานี Kiyomizu-Gojo แล้วค่อยต่อรถเมล์ (หรือเดิน) ประมาณ 20 นาที ระยะทาง 1.8 กม. เพื่อไปยังวัดน้ำใสครับ

Table-to-Kiyomizu-dera

การเดินทาง : เมื่อเดินออกมาจากศาลเจ้า จะเห็นสถานี JR Inari ให้เราเดินเลี้ยวขวาไปทางร้านข้าวหน้าปลาไหล จากนั้นเมื่อเดินมาถึงมุมถนน (หน้าร้านข้าวหน้าปลาไหล) ก็ให้เลี้ยวซ้ายแล้วเดินตรงไปประมาณ 100 เมตร ก็จะถึงสถานีรถไฟใต้ดิน Fushimi-Inari แล้วครับ ให้ซื้อตั๋วรถไฟแล้วก็เดินทางต่อได้เลย (บัตร One day pass ใช้กับรถไฟใต้ดินสายนี้ไม่ได้นะครับ เนื่องจากเป็นของเอกชน)

To-Fushimi-Inari-station

สายรถเมลล์ที่ผ่านมี 100,202,206,207 นั่งมาลงที่ป้าย Kiyomizu-Michi

To-Kiyomizu-dera

เมื่อเดินมาถึงบริเวณทางขึ้นเนินเขาไปยังวัดน้ำใส เราจะพบทางเดินที่ปูด้วยหินและร้านขายของที่ระลึกมากมายตลอดสองข้างทาง บริเวณนี้นั้นแต่เดิมเป็นย่านที่ขายถ้วยชาเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งคนส่วนใหญ่เรียกถนนเส้นนี้ว่า “ถนนกาน้ำชา” แต่ต่อมาเมื่อมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวยังวัดน้ำใสมากขึ้น ร้านค้าบริเวณนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นร้านขายขนม ของที่ระลึก อาทิ ชุดกิโมโน ตุ๊กตา เครื่องราง ไปในที่สุด

จะยังคงหลงเหลือร้านขายชุดน้ำชาเครื่องปั้นดินเผาอยู่บ้างแค่บางร้านครับ ผมแนะนำให้ขึ้นไปเที่ยววัดน้ำใสก่อนครับ แล้วค่อยลงมาเดินดูของ ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องแบกของเยอะ หมดสนุกก่อนจะได้เที่ยววัดน้ำใสแน่ๆ ครับ

KNP_5422-Edit

เมื่อเดินมาได้สักประมาณ 1 กม. เราจะเห็นซุ้มประตูสีแดงอมส้มขนาดใหญ่ นั่นคือทางเข้าวัดครับ ให้เดินต่อมาอีกระยะจะเจอกับทางเข้าวัดจริง (มีป้ายบอกตลอดทาง ไม่ต้องกลัวหลงนะ)

วัดน้ำใสนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงต้นยุคเฮอัน ประมาณปี ค.ศ. 798 ซึ่งสิ่งก่อสร้างที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนั้นล้วนสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1633 ตามคำสั่งของ โตกุกาว่า เอมิซึ ซึ่งความน่าสนใจอยู่ที่โครงสร้างทั้งหมดนั้นไม่มีการใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว วัดนี้ถูกตั้งชื่อตามน้ำตกในบริเวณวัด ซึ่งแปลตรงตัวจากคำว่า “คิโยมิซึ” ซึ่งแปลว่า “น้ำใส” นั่นเอง

KNP_5456

บริเวณห้องโถงกลางของวัดจะมีระเบียงไม้ขนาดใหญ่ยื่นออกมาจากหุบเขา ทำให้สามารถมองเห็นวิวของเมือง Kyoto พร้อมกับ Kyoto Tower ได้เลยครับ นอกจากนี้บริเวณใต้ห้องโถงของวัดน้ำใส ยังมีน้ำตกสามสายไหลลงมาที่สระน้ำ ซึ่งก็เชื่อกันว่าถ้าใครได้ดื่มน้ำจากธารน้ำใส 3 สายนี้แล้วจะสมปรารถนาไว้ครับ

KNP_5467

วิว Kyoto Tower เมื่อมองจากวัดน้ำใสครับ

น่าเสียดายที่ในวันที่ผมไปนั้นทางวัดปิดบูรณะอาคารหลายจุดเลย ทำให้วิวที่ถ่ายมาได้ยังไม่สุดเท่าที่ต้องการ ตอนนี้กำลังวางแผนจะไปซ่อมมุมสวยๆ นี้อีกครั้งในช่วงเดือนตุลาคมนี้ครับ

เสร็จจากวัดน้ำใส เราก็ย้อนกลับไปเดินเล่นบริเวณถนนสายกาน้ำชาครับ ตรงจุดนี้ผมมีมุมแนะนำให้เพื่อนๆ ลองเดินเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆ ขวามือแรกหลังออกมาจากวัดน้ำใสครับ ถนนสายนี้เรียกว่าถนน Higashiyama ครับ ซึ่งเป็นถนนที่ยังคงสไตล์การตกแต่งแบบญี่ปุ่นโบราณเอาไว้

ตลอดทางจะมีร้านอาหาร ร้านขนม และร้านขายของที่ระลึกมากมาย เหมาะแก่การเดินชมบรรยากาศไปพร้อมๆ กับถ่ายภาพครับ และหากเดินลงไปอีกนิดเราจะเห็นศาลเจ้า Yasaka ที่มีเจย์ดีทรง 8 เหลี่ยมสูงๆ อยู่ครับ มุมนี้เป็นมุมสวยมุมนึงที่ไม่ควรพลาดนะครับ

KNP_5526

นั่งรอนานมาก ว่าจะมีรถผ่านมาสักคัน หนาวก็หนาว ฮือๆ

เสร็จจากเที่ยวบริเวณวัดน้ำใสแล้ว ตอนนี้บอกเลยว่าท้องร้อง 5555555 ผมกับแฟนเลยรีบลงมาขึ้นรถเมล์กลับไปยังสถานี JR Kyoto เพื่อไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรม Ibis จากนั้นก็ไปหาราเม็งอร่อยๆ ทานเป็นมื้อเย็นกัน ก่อนที่จะเดินทางไปยังสถานี JR Osaka เพื่อต่อรถไฟไปยัง Amami Onsen เพื่อเข้าพักที่ Nanten-en ซึ่งเป็นที่พักสไตล์เรียวกังของเราในคืนนี้ครับ

สำหรับการเดินทางไปยัง Anami Onsen นั้นผมขอไม่ลงรายละเอียดมากนะครับ เพราะต่อรถหลายต่อเลย แต่ถ้าเพื่อนๆ มีเวลาก็ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์นี้ครับ http://www.e-oyu.com/

เรามาถึงที่ Nanten-en กันช้ากว่าเวลาที่นัดกับเจ้าหน้าที่ไว้ แต่พอเข้าไปถึงเท่านั้นล่ะครับ ทุกคนก็กรูกันเข้ามาต้อนรับอย่างดี หลังจากนั้น ผจก. เรียวกังก็พาเราไปยังห้องพัก พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ออนเซ็น นัดเวลาอาหารเช้า จากนั้นเธอก็บอกลาให้เราได้พักผ่อนกันตามสบายครับ

KNP_5566

ความฝันของหมวยเลย ได้ใส่ชุดยูกาตะ ได้นอนเรียวกัง ได้แช่ออนเซ็น

 

เรียกว่าวันนี้ทั้งวันพวกเราเที่ยวกันจนอิ่มเอมทั้งอาหารและที่เที่ยวเลยครับ คงต้องขอปิดท้ายทริป “ตามฝันถิ่นคันไซ” ของพวกเราทั้งคู่แต่เพียงเท่านี้นะครับ สำหรับใครที่สงสัยว่าเอ๊ะ ทำไมไม่พูดถึงการเที่ยวใน Osaka เลย ผมคงต้องขอเอาเรื่องราวของ Osaka ไปลงเป็น mini review ใน facebook page แทนนะครับ ฝากไปติดตามพวกเราทั้งคู่ในเพจ “หนีงานไปเที่ยว” ใน facebook ด้วยนะคร๊าบบบบ

ขอบคุณที่ติดตามชมมาโดยตลอด ไว้พบกับรีวิวทริปอื่นๆ จากเราทั้งคู่ได้ในโอกาสหน้าครับ