
มีรีสอร์ทไม่กี่ที่หรอกที่ให้คุณได้นอนหลับกลางนาข้าว แล้วให้เสียงคลื่นขับกล่อมไปพร้อมๆ กัน หนึ่งในนั้นคือที่นี่ครับ la a natu bed & bakery อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ (อ่านว่า ลา–เอ–นาตู นะ ไม่ใช่ ลา–อะ–นาตู ผมพลาดมาแล้ว 5555) วันนี้อีพริ้งจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวกึ่งรีวิวด้วยกันครับ ตามมาเลย!!!

ย้อนกลับไปหลายเดือนก่อนหน้านั้น อีพริ้งได้รับโอกาสดีๆ จากพี่กอล์ฟ พี่ชายใจดีคนนึงของอีพริ้ง ที่จัดกิจกรรม Rookie Blogger ขึ้นมา เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่อยากเรียนรู้การเป็น Blogger ส่งผลงานเข้ามาให้พิจารณา เพื่อคัดเลือกให้มาเรียนรู้แนวทางการเป็น Blogger ที่ดี พร้อมได้ไปสัมผัสประสบการณ์พิเศษที่รีสอร์ท la a natu ปราณบุรีแห่งนี้

หลังจากพี่กอล์ฟได้แนะนำอะไรหลายๆ อย่างให้อีพริ้งแล้ว พี่กอล์ฟบอกอีพริ้งสั้นๆ ว่า “ไป la a natu ไม่ต้องรีวิวหรอก อยากไปนอนก็นอน อยากไปกินก็กิน ตามสบาย” แม้พี่จะพูดแบบนั้น แต่ผมรู้ว่าผมควรใช้สิ่งที่ได้เรียนรู้มา กับโอกาสในการไปพักผ่อนที่ la a natu ในครั้งนี้

งั้นอีพริ้งจะขอรีวิว la a natu ในแนวทางของอีพริ้ง ด้วยจุดยืนที่จะนำเสนอข้อดีข้อเสียของที่นี่ให้มิตรรักทุกท่านได้อ่านกันแบบตรงไปตรงมานะครัส
อ้อ!! ทริปนี้แม้จะไม่ใช่ Sponsor Review (เพราะเค้าไม่ได้บอกให้รีวิว ให้มาพักฟรีเฉยๆ) แต่อีพริ้งก็จะขอรีวิวให้ฟังด้วยคำว่า Sponsor Review นะจ๊ะ
la a natu อยู่ไหน? มาทำความรู้จักกันหน่อย
ชื่อรีสอร์ท la a natu (ลา–เอ–นาตู) น่าจะถูกแปลงมาจากคำว่า L’art et Nature แปลว่า “ศิลปะกับธรรมชาติ” ซึ่งก็ตรงกับคอนเซ็ปท์ของรีสอร์ทที่บอกว่า
“la a natu bed & bakery เป็นรีสอร์ทริมทะเลขนาดเล็กที่มีสไตล์โดดเด่นเฉพาะตัว ด้านหน้ารีสอร์ทเป็นชายหาดส่วนตัว ด้านหลังเป็นแปลงนาข้าวขั้นบันได (สลับพืชอื่นๆ ตามฤดูกาล) บรรยากาศสบายๆ เงียบสงบ รื่นรมย์ สิ่งก่อสร้าง สถาปัตยกรรม งานดีไซน์ และการตกแต่งภายในเป็นแบบพื้นถิ่นผสมโมเดิร์น เน้นความกลมกลืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”
(ข้อมูลจากเว็บไซต์ la a natu http://www.laanatu.com/thai/)





รีสอร์ทตั้งอยู่บนชายหาดปราณบุรี–สามร้อยยอด ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 230 กิโลเมตร ถนนหนทางสะดวกมากครับ ถ้ามาจากกรุงเทพฯ เมื่อถึงแยกบายพาสชะอำ – ปราณบุรี ให้เราใช้ถนนบายพาสตรงไปยังปราณบุรีได้เลยจะใช้เวลาสั้นกว่า ไม่ต้องผ่านอำเภอชะอำหรือหัวหินครับ อีพริ้งกับยัยหมวยขับรถจากแถว ถ.พระราม 2 บ่ายวันศุกร์ ใช้เวลาแค่ 3 ชม. ก็ถึงรีสอร์ทแล้วครับ

เมื่อมาถึง la a natu พนักงานจะให้เราจอดรถที่ลานจอด จากนั้นจึงขนสัมภาระขึ้นรถกอล์ฟ เพื่อต่อไปยังรีสอร์ทอีกทีนึง เฮ้ย!! ดีจัง ไม่ต้องได้ยินเสียงแตรรถ ไม่ต้องเจอรถขับเข้าออกไป-มา แนวคิดนี้อาจเป็นเพราะรีสอร์ทมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ หรืออาจเป็นความตั้งใจที่จะตัดสิ่งรบกวนออกจากรีสอร์ทก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คือชอบจัง ^_^


การต้อนรับ
เมื่อรถกอล์ฟพาเราเข้ามาถึงจุด guest drop เราก็เดินตามทางเดินไม้เล็กๆ ที่สองข้างทางเป็นแปลงนาขนาดย่อม ความรู้สึกสงบแบบลูกทุ่งไทยๆ เริ่มโชยมา ยิ่งพอมาถึงตัว lobby พนักงานต้อนรับก็ยิ้มทักทายเรา พร้อมผ้าเย็นไว้ให้เช็ดหน้าเช็ดตา เอาแล้ว la a natu เริ่มปล่อยหมัดแย๊บใส่เราแล้วสินะ 55555
บริเวณ lobby ออกแบบตกแต่งอย่างมีสไตล์ ด้วยงานไม้ไผ่ผสมปูนขัด บรรยากาศสงบสบาย มีลมพัดผ่านทำให้ไม่ร้อน มีเสากลางเป็นแผงไม้ไผ่แผ่ขึ้นไปถึงเพดาน ด้านบน lobby ยังมีร้านอาหารอยู่ชั้น 2 และมีสระว่ายน้ำอยู่ชั้น 3



หลังจาก check-in เรียบร้อย พนักงาขับรถกอล์ฟก็นำกระเป๋าเข้ามารอเราพอดี จากนั้น พนักงานต้อนรับและพนักงานขนกระเป๋าก็พาเราไปยังห้องพัก ซึ่งห้องที่เราพักก็อยู่ติดกับ lobby เลยจ้า ชื่อห้อง “ข้าวฟ่าง 8”

เมื่อถึงห้องพัก ก็แปลกใจที่ในห้องเปิดแอร์อยู่แล้ว พนักงานบอกว่า “เราจะเปิดแอร์ไว้รอเฉพาะห้องที่ลูกค้าจองมา โดยจะเปิดในช่วงใกล้ๆ เวลาลูกค้าเข้าพัก พร้อมกับ Welcome Drink ในตู้เย็นค่ะ” เธอพูดพลางหยิบ Welcome Drink ที่เป็นน้ำสับปะรดในแก้วทรงแปลกๆ ออกมาส่งให้เราดื่ม เฮ้ย!! ใส่ใจมากไปป่าวเนี่ย !? เรื่องเล็กน้อยแต่ชักจะเริ่มได้ผลลัพธ์ใหญ่โตนะ

ห้องพัก
จะเรียกว่าห้องพักคงจะไม่ถูกนัก เพราะที่พักของเราเป็นลักษณะคล้ายกระท่อมยกใต้ถุนสูง โครงสร้างทำด้วยไม้ มุงหลังคาด้วยใบจาก ด้านบนเป็นห้องนอนและห้องน้ำที่แยกจากกันด้วยระเบียงทางเดิน ส่วนใต้ถุนบ้านทำเป็นแคร่ไม้ปูเบาะนุ่มให้นั่งเล่นสบายๆ แถมมีอ่างอาบน้ำไว้ให้เราแช่น้ำเล่นกันด้วยนะ







สิ่งที่ชอบใจในห้องพักก็คือผ้าปูที่นอนลายเก๋ๆ ที่ประยุกต์จากลายผ้าขาวม้าสีสดใส หมอนที่มีให้เลือกทั้งแบบนุ่ม-แบบแน่น หลอดไฟบนเพดานก็มีการประยุกต์เอากระชอนกับผ้ามุ้งมาใช้กันแมลง หลอดไฟในห้องเป็นสีเหลืองเพื่อลดการปล่อย uv ออกมาล่อตาแมลงกลางคืน

ภายในห้องมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกตามมาตรฐาน ทั้ง TV, ตู้เย็น, เครื่องเล่น DVD พอเปิดตู้เย็นมาก็พบว่า… มีน้ำดื่มเตรียมไว้ให้ถึง 6 ขวด!!!! ต่างจากมาตรฐานโรงแรมทั่วไปที่มีให้เพียง 2 ขวดต่อวัน (2 ขวดมันพอที่ไหนกันล่ะ บ้านเราเมืองร้อนนะ)

สำหรับห้องน้ำที่แยกจากตัวบ้านนั้นก็ออกแบบได้น่าสนใจมาก ใช้การผสมระหว่างผนังไม้ไผ่กับปูนขัดได้อย่างลงตัว ไม่ต้องกลัวโป๊นะครับ เพราะส่วน shower นั้นเค้าก่อปูนเป็นผนังโค้งล้อมด้วยไม้ไผ่สานและมีม่านสำหรับกันน้ำกระเด็น นอกจากนี้ยังมีไดร์เป่าผม มีชุดนอน มีร่ม มีอุปกรณ์อาบน้ำเตรียมไว้ให้แล้ว สบู่และแชมพูของที่มีมีกลิ่นธรรมชาติได้บรรยากาศดีครับ

อ้อ… ในห้องน้ำจะมีรองเท้าแตะสานเอาไว้ให้เราใส่เดินไปไหนมาไหนด้วยนะ ใส่สบาย เข้าธีมดีด้วย

บรรยากาศภายในรีสอร์ท
รีสอร์ทนี้อยู่ติดทะเลปราณบุรีครับ หันหน้าไปทางทิศตะวันตก แม้หาดทรายไม่ได้ขาวละเอียดเหมือนอย่างทะเลอันดามันในภาคใต้ ทรายอาจจะหม่นๆ หน่อย แต่ขึ้นชื่อว่าทะเลที่ไหนมันก็ได้บรรยากาศทั้งนั้นแหล่ะครับ แม้วันที่ผมไปนั้นฟ้าจะขมุกขมัวไปหน่อยเพราะเข้าหน้าฝนแล้ว แต่มันก็ดีที่ไม่ต้องคว้าหมวกมาบังแดด แค่ทาครีมกันแดดหน่อย เราก็นอนรับลมทะเลยามบ่ายๆ เย็นๆ ได้สบายละ


ด้วยคอนเซ็ปท์ที่เน้นการผสมผสานความเป็นพื้นถิ่นเข้ากับความโมเดิร์น และเน้นความเงียบสงบ รื่มรมย์ วลีที่กล่าวมานั้นไม่เกินจริงเลย การออกแบบไม่ได้ดูฟุ้มเฟือยอะไรเลย ทุกอย่างเรียบง่าย เน้นประยุกต์วัสดุพื้นถิ่นมาใช้งาน อาทิ
- สุ่มไก่ที่ถูกทำเป็นโคมไฟ ถูกวางไว้ตามจุดต่างๆ เวลากลางคืนก็ให้แสงเงาที่น่าสนใจดี
- ฝักบัวที่ไว้ล้างตัว ก็ใช้ไม้ไผ่ในการตกแต่งให้ดูกลมกลืน
- พื้นทางเดินในรีสอร์ท ก็มีทั้งช่วงที่เป็นแผ่นไม้ยกสูงจากพื้นกันเลอะเทอะเวลาฝนตก หรือการใช้อิฐมอญมาทุบแล้วตกแต่งพื้นทางเดิน
- อีกส่วนนึงที่ชอบคือการเล่นลวดลายผนังปูนในรีสอร์ท ที่แอบเติมความเป็นชนเผ่าเข้าไปได้อย่างกลมกลืน




ในช่วงที่เราไปทานอาหารเย็น พนักงานจะแอบมาเปิดไฟในห้องไว้ให้เรา ดึงมูลี่ลงมาปิด จัดเตรียมเตียงให้พร้อมสำหรับการนอน แถมด้วยการเอาเจ้าตุ๊กตาควายน้อยมานอนต้อนรับบนเตียงอีกด้วยนะ

อาหารล่ะเป็นไง
ส่วนใหญ่ถ้ามาเที่ยวต่างจังหวัด ช่วงมื้อเย็นอีพริ้งมักจะเลือกขับรถออกไปหาอะไรอร่อยๆ ทาน เพราะเชื่อว่าอาหารโรงแรมก็คงทำมาให้ฝรั่งกิน รสชาติมันจะไปถึงเครื่องได้ไง แต่เพราะรอบนี้มาพักฟรี กินฟรี มีหรือที่จะไม่สั่งมาลองกิน 555555

แล้วอีพริ้งก็พบว่า… เรานี่โง่จริง อาหารที่นี่อร่อยมากจริงๆ เลยเว้ยยยยย!!!! (เก็บอาการไม่อยู่กันทีเดียว) เพราะรสชาตินั้นถึงเครื่อง อร่อย และดีเกินคาดจริงๆ เมนูที่ยัยหมวยสั่งมาทานมีดังนี้ครับ
- ยำเนื้อริบอายย่าง
- ฉู่ฉี่กุ้ง
- ปลาราดพริกสามรส
- ต้มยำกุ้ง
มาว่ากันเรื่องรสชาติตามนี้เลยครับ

ยำเนื้อริบอายย่าง : หากคุณชอบเนื้อ บอกคำเดียวว่าต้องสั่ง เนื้อริบอายย่างกำลังดี เนื้อข้างในยังเหลือสีแดงอยู่ เมื่อทานเข้าไปสัมผัสได้ถึงความนุ่มสดของเนื้อที่มีไขมันแทรกอยู่บางๆ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ทานพร้อมเครื่องยำหูย…ฟินมาก ยิ่งแกล้มเบียร์ยิ่งฟินฝุดๆ สั่งสิครับจะรออะไร 55555

ฉู่ฉี่กุ้ง : อีกหนึ่งความละมุนของฉูฉี่ที่ใช้วัตถุดิบชั้นดีและเครื่องแกงที่ถึงรส โดยเฉพาะกุ้งเนื้อแน่นๆ ทานเพลินมากครับ สำหรับคนไม่ชอบทานเผ็ดก็สั่งมาทานได้ครับ ยัยหมวยทานเมนูนี้ได้สบาย ความเผ็ดระดับประถมเอง อิๆ

ปลาราดพริกสามรส : ปลาทอดกรอบกำลังดี ราดซอสเปรี้ยวหวาน โรยด้วยกระเทียมและกะเพรากรอบ ได้รสเผ็ด เปรี้ยว หวาน ครบสามรส เมนูนี้บอกเลยครับว่าควรสั่งมาทาน จานใหญ่ ทานกัน 2 คนนี่อิ่มมากเลย

ต้มยำกุ้ง : เมนูที่ปกติผมจะไม่สั่งทานในร้านอาหารโรงแรม เพราะเชื่อว่าแพงเวอร์และรสชาติไม่น่าถึงเครื่อง แต่ชามนี้… ต้องเรียกว่า “กุ้งลวกราดน้ำต้มยำ” เฮ้ย!!! กุ้งจะเยอะไปไหน กุ้งสดๆ เนื้อหวานๆ แหวกว่ายอยู่ในน้ำต้มยำรสนัวๆ แซ่บๆ ผมให้ 5 ดาวเต็มครับ
ต่ออีกนิดกับอาหารเช้า
ลักษณะอาหารเช้าที่นี่จะเป็นเมนูตามสั่ง (แต่สั่งแล้วสั่งอีกได้เรื่อยๆ) โดยเมื่อมาถึงโต๊ะ แจ้งเลขห้องแล้ว พนักงานจะให้เราเลือกอาหารจากเมนูอาหารเช้า ซึ่งก็มีให้เลือกเยอะนะ แบ่งเป็นหมวด Beverage (เครื่องดื่ม) Homemade (วัฟเฟิล, แพนเค๊ก) Global (อาหารนานาชาติ เช่น ไข่ดาวหมูแฮม ออมเล็ท) Local (ข้าวต้ม, ข้าวออมเล็ท, ข้าวผัด)

ความดีงามของอาหารเช้าที่นี่ประทับใจผมมาก เพราะใช้วัตถุดิบคุณภาพ ไล่มาตั้งแต่แฮมอย่างดี เบคอนไขมันน้อย ขนมปังที่ทำเอง วัฟเฟิลและแพนเค๊กที่อร่อยสุดๆ เช้านั้นอีพริ้งขอเติมวัฟเฟิลไปถึง 2 รอบ อิ่มไปจนกลางวันเลยครับ





น่าเสียดายที่เราต้อง Check out ก่อนที่จะได้ลองชิม Afternoon Tea Set อันเลื่องชื่อของที่นี่ ซึ่งจะเปิดขายแค่ช่วง 14:00 – 17:00 เท่านั้น ไว้คราวหน้าจะหาโอกาสไปลองให้ได้ครับ
การบริการ
ที่นี่คือรีสอร์ทที่มีการอบรมพนักงานได้ดีมากที่สุดแห่งนึงที่อีพริ้งได้เจอ คำว่า “นิ่งดูดาย” หรือ “หงุดหงิด” อีพริ้งไม่เจอที่นี่ครับ พนักงานทุกคนให้บริการพวกเราอย่างดีมาก มีมารยาท ใส่ใจ ยิ้มแย้ม มีใจบริการดีเยี่ยม เราจะได้ยินคำว่า “ได้เลยครับ” “ยินดีค่ะ” จากพนักงานที่นี่อยู่ประจำ เวลาเดินผ่านพนักงาน เรามักได้ยินคำพูดทักทาย มีรอยยิ้มที่มีให้กับแขกที่มาพักเสมอ


แม้กระทั่งวันที่จะเช็คเอาท์ ด้วยความที่อีพริ้งและยัยหมวยมีกระเป๋าหลายใบมาก ตอนจะเช็คเอาท์ พนักงานที่กำลังซ่อมท่อประปาอยู่บริเวณนั้น 3 คน รีบปลีกตัวมาช่วยกันยกกระเป๋าให้เราเพื่อไปส่งยัง lobby โดยที่ไม่ต้องรอให้เราเรียกหา
เรื่องการบริการเราให้คุณไปเลย 5 ดาวเต็ม
แล้วไม่มีอะไรจะติเลยหรือไง !?
มี 2 เรื่องที่อยากจะติเพื่อก่อ ให้กับทาง La a natu bed & bakery ก็คือ
- ร่มเงาที่น้อยเกินไป หากลูกค้าอยากจะนั่งชมบรรยากาศบริเวณที่นั่งริมชายหาด ทำให้ช่วงบ่าย แขกที่เข้าพักจำเป็นต้องใช้เวลาอยู่บริเวณบ้านพักไปโดยปริยาย
- พื้นที่บริเวณบ้านพัก ที่ไม่ค่อยมิดชิด เนื่องจากใช้ไม้ไผ่ทำฝาผนังดังนั้นจึงมีช่องที่มองลอดได้ง่าย และอาจเป็นผลให้มีแมลงหรือสัตว์เลื้อยคลานเข้ามารบกวนแขกที่มาพักได้ครับ

จองที่พักออนไลน์เพื่อสนับสนุน “หนีงานไปเที่ยว”
จองออนไลน์ผ่าน Booking.com ได้ประโยชน์ 2 ต่อ
- คุณจะได้ดีลราคาพิเศษในทุกการจอง ได้สิทธิประโยชน์ในฐานะสมาชิก Booking.com
- “หนีงานไปเที่ยว” จะได้ % ส่วนแบ่งจากทุกการจอง เพื่อให้เราสองได้พัฒนา Blog ให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
สนใจจองห้องพักที่ La a natu bed & bakery คลิกที่นี่
สรุปหน่อย ทำไมต้องมา la a natu?
เพราะที่นี่คือรีสอร์ทคุณภาพเยี่ยม ที่มีการบริหารจัดการที่ดี ใส่ใจอบรมพนักงาน มีความจริงใจในการทำธุรกิจ เป็นรีสอร์ทที่จะทำให้คุณได้นอนฟังเสียงคลื่นกระทบฝั่งไปพร้อมๆ กับฟังเสียงจิ้งหรีดขับกล่อมในยามค่ำคืน การมา la a natu จึงเหมือนการปลีกวิเวกเพื่อการชาร์จพลังให้ตัวเองได้อย่างแท้จริง


อีพริ้งและยัยหมวยให้คะแนน 5/5 ดาวครับผม
ถ้าชอบฝาก Like & Share ด้วยนะครับ
แวะไปติดตามรีวิวและหนีงานไปเที่ยวกับพวกเราได้ที่เพจนี้เลยจ้า
สอบถามเพื่อขอข้อมูลและจองที่พักได้ที่
โทรศัพท์ +66 (0) 32 689 941-3, +66 (0) 81 731 8688
โทรสาร +66 (0) 32 689 944
เว็บไซต์ www.laanatu.com
facebook : https://www.facebook.com/laanatubb/