ไปเที่ยวเลห์กันดีกว่า
วันนี้เราทั้งคู่เอารีวิวท่องเที่ยวมาฝากมิตรรักแฟนเพจกันครับ เมืองนี้มีความหลังกับเราทั้งคู่ เมืองนี้ช่วยชะลอจังหวะชีวิตให้เรานิ่งขึ้น เมืองนี้ทำให้เรารู้ว่าโลกใบนี้ใหญ่แค่ไหน เมืองนี้ทำให้เรารู้ว่าความศรัทธาทำให้ผู้คนน่ารักเพียงใด เมืองนี้ตั้งอยู่บนที่สูงในแคว้นเล็กๆ ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย เมืองนี้ชื่อ… “Leh (ออกเสียงว่าเลห์)”
ตามเรามาเลยครับ…
เมือง Leh เป็นเมืองหลวงของแคว้น Ladakh ซึ่งตั้งอยู่ตอนเหนือประเทศ India หนึ่งในประเทศสวยงามท่ามกลางขุนเขา ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น Little Tibet
ทริปนี้เราใช้เวลาเดินทางกันอย่างจุใจ 10 วัน 9 คืน เพื่อเจาะลึกสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในเมือง Leh และเมืองใกล้เคียง โดยมีจุดหมายเพื่อไปสัมผัสชีวิตผู้คน วัฒนธรรมท้องถิ่น รวมถึงไปนอนค้างชมวิวแสงเช้า-เย็น ณ ทะเลสาปปันกอง ลามายูรู และนูบร้าวัลเล่ย์
แต่ด้วยความสูงระดับ 3,500 – 5,300 เมตร เหนือระดับน้ำทะเลนั้น คนจากที่ราบลุ่มแม่น้ำอย่างประเทศไทยคงไม่สามารถรับมือกับสภาพแวดล้อมนี้ได้โดยไม่ต้องเตรียมตัว
การเตรียมตัวรับมือกับประเทศบนที่สูง
จะไปเที่ยวเมืองเลห์ ต้องหาข้อมูลเยอะๆ นะครับ เตรียมตัวกันสักหน่อยจะได้เที่ยวได้สนุก ไม่ต้องกลัวเรื่องข้อจำกัดทางร่างกาย ผู้หญิง คนอ้วน สามารถเดินทางไปได้ครับ แต่สำหรับท่านที่มีโรคประจำตัวควรนำยาส่วนตัวไปด้วยนะ
ที่ระดับ 3,500 เมตร อากาศจะเบาบางกว่าปกติ ซึ่งจะมีผลกับผู้เดินทางทำให้เหนื่อยง่ายและหายใจลำบาก เลือดจะข้นมากกว่าปกติ อาจก่อให้เกิดอากาศเวียนหัว คลื่นไส้ เสี่ยงต่อการเกิดโรคแพ้ความสูงหรือ High Altitude Sickness ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ในภาวะที่มีออกซิเจนน้อย ดังนั้นการปล่อยให้ร่างกายได้ปรับตัวจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ทำความเข้าใจโรคแพ้ความสูงและเรียนรู้วิธีการป้องกันที่นี่นะครับ
- Altitude Sickness #1 โรคที่ต้องระวังในพื้นที่สูง > http://goo.gl/t7jOsU
- Altitude Sickness #2 อาการและการป้องกัน > http://goo.gl/FlkQAA
สำหรับคนที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับความดัน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเดินทาง
“ออกซิเจนกระป๋องแบบพกพา” ควรไปซื้อที่เลห์ครับ ไม่ควรพกไปจากไทย สามารถหาซื้อได้ที่ Leh Main Bazaar จะมีร้านชื่อ “Chemist” เป็นร้านขายยาครับ ราคากระป๋องละ 450 รูปี (คิดเป็นเงินไทย 239 บาท ที่เรท 0.53) สูดเข้าปอดเพื่อช่วยเติมออกซิเจนให้เลือด ลดอาการมึนและเพลียได้ประมาณนึงครับ
เมืองเลห์ ไปยังไง?
ปัจจุบันยังไม่มีสายการบินไหนมีบริการบินตรงจากไทยไปยังเมืองเลห์นะครับ เราจำเป็นต้องไปต่อเครื่องที่ New Delhi ก่อน ซึ่งสายการบินที่บินจาก New Delhi ไปยังเมืองเลห์ ปัจจุบันมีอยู่ 3 สายการบิน ดังนี้ครับ Jet Airways, Go Air และ Air India ทั้งหมดเป็นสายการบินของอินเดียนะครับ จาก New Delhi ไปยังเมืองเลห์ นั่งเครื่องประมาณ 1.30 ชั่วโมงครับ
อ่านรายละเอียดการขอวีซ่าเข้าประเทศอินเดีย (เพื่อไปเที่ยวเมืองเลห์ ด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว) ที่นี่เลยครับ Visa India ขอวีซ่าไปอินเดีย (ไม่ยากหรอก)
คำแนะนำเรื่องการจองตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวเลห์
- ราคาตั๋วเครื่องบินจะถูกหรือแพงขึ้นอยู่กับฤดูกาลท่องเที่ยวนะครับ ช่วงที่แพงสุดจะเป็นช่วงเดือน ก.ค. – ส.ค. ครับ
- การเลือกเที่ยวบินไปลงที่ New Delhi เพื่อต่อเครื่องไปยัง Leh นั้น เราควรเผื่อระยะเวลาสำหรับการต่อเครื่องไว้ที่ 3 ชม. ครับ หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันเราจะได้มีเวลาไว้รับสถานการณ์
- สนามบิน New Delhi จะมีหลาย Terminal 1, 2, 3 แต่ละแห่งอยู่ไกลกัน เชื่อมกันด้วย Shuttle Bus หรือ Taxi ซึ่งเสียเวลามาก ยิ่งกรณีที่ต้องต่อเครื่อง ถ้าระยะเวลาในการรอต่อเครื่องนานหลายชั่วโมง เราจะถูกกันไม่ให้เข้าไปใน Terminal จนกว่าจะใกล้เวลาออกเดินทาง ดังนั้นในการเลือกสายการบินที่จะเปลี่ยนเครื่องไปยังเมืองเลห์ ควรเลือกสายการบินที่อยู่ใน Terminal เดียวกันดังนี้ครับ
- Jet Airways / Air India อยู่ Terminal 3 ดีงามและเดินทางสะดวกมากครับ การบินจากไทยไปเลห์เราต้องรอต่อเครื่องนานพอสมควร ใครไม่อยากรอในสนามบิน สามารถซื้อ 1 day trip เที่ยวใน New Delhi ก็เป็นสีสันนึงนะครับ ส่วนใครไม่อยากออกไปเที่ยวข้างนอก การรอใน Terminal 3 ก็มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ บาร์เหล้า และ Duty Free ให้เราเพลิดเพลินได้นะ ราคาอาหาร-เครื่องดื่มถูกกว่าสนามบินบ้านเรามากมาย อ่านรายละเอียดเรื่องแหล่งกินแหล่งช้อปในสนามบินที่นี่ครับ http://www.newdelhiairport.in/shop-and-eat.aspx
- Go Air อยู่ Terminal 1D ถ้าจะบิน Go Air ให้จองตั๋วมาลง New Delhi ด้วยสายการบิน Indigo Air / SpiceJet ครับ แต่ส่วนตัวไม่แนะนำ เพราะเวลาบินไม่ดี ต้องรอต่อเครื่องนานครับ
- อ่านข้อมูลเรื่องการจัดการ Terminal ที่สนามบิน New Delhi ได้ที่นี่ครับ http://www.delhiairport.com/terminals.php
สายโซเชี่ยลต้องรู้
ไปเที่ยวเลห์ ขอให้ทำใจไว้ก่อนเลยครับเรื่องสัญญาณ wifi และสัญญาณโทรศัพท์ ผมมีคำแนะนำดังนี้ครับ
- การซื้อ Sim Card : ถ้าต้องการซื้อไว้เพื่อใช้โทรกรณีฉุกเฉินผมแนะนำครับ แต่ถ้าต้องการไว้เล่น Social Media ไม่แนะนำครับ สัญญาอินเตอร์เน็ตคาดหวังไม่ได้ ไม่คุ้มเงิน
- การใช้ wifi : ใช้ wifi โรงแรมแนะนำให้ตื่นมาเล่นแต่เช้าครับ เพราะไม่มีคนแย่งเล่น สัญญาณจะแรง แต่ก็อย่าคาดหวังมากเช่นกันครับ สัญญาณ wifi จะมีเฉพาะในโรงแรมในเมืองหลักๆ นะครับกระโจมที่พักที่ทะเลสาปปันกอง หรือที่นูบร้าวัลเลย์ ไม่มีสัญญาณ wifi ครับ
โปรดเตรียมเสบียงยังชีพก่อนไปเที่ยวเลห์
อันที่จริงถ้าคุณชื่นชอบอาหารอินเดีย ชอบเครื่องเทศ สามารถกินโรตีและแกงถั่วได้ เป็นคนทานอาหารแปลกๆ ได้ ธาตุแข็งไม่ท้องเสียง่าย เรื่องเตรียมถุงยังชีพอาจไม่จำเป็นครับ 55555 แต่ถ้าไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้ควรเตรียมไปด้วยนะครับ
- อาหารแห้ง ปลากระป๋อง หมูแผ่น หมูหยอง มาม่ากระป๋อง แกงสำเร็จรูป น้ำพริก น้ำปลา เหล่านี้เอาไว้แก้เลี่ยนจากอาหารที่เลห์ครับ
- การเดินทางใช้เวลานาน อาจต้องหิ้วท้องรอกว่าจะได้ทานข้าว ระหว่างเดินทางควรเตรียมถุงยังชีพที่มี snack & energy bar ไปด้วย อาทิ หมูฝอย, หมูแผ่น, Energy Bar, ช็อกโกแลตแท่งไว้เติมพลัง แนะนำให้ซื้อ Snickers และ Kit Kat ที่เลห์ครับ อันละ 8-9 บาท ถูกและรสชาติดี
- เนื่องจากที่เลห์ฝุ่นเยอะ รวมถึงสุขลักษณะต่างๆ ยังไม่ดีเท่าไหร่ เราควรเตรียมทิชชูเปียก แอลกอฮอล์เจล ผ้าปิดปากหรือหน้ากากกันฝุ่นไปด้วยครับ
- แดดที่เลห์นั้นแรงครับ แถมอากาศหนาว-แห้ง ควรเตรียมหมวก เตรียมลิปมันไปทาปาก แล้วก็เตรียมแว่นกันแดดเท่ๆ ไปใส่ถ่ายรูปด้วยนะ
- อากาศที่นั่นแห้ง เราควรดื่มน้ำ จิบน้ำบ่อยๆ ที่เลห์ไม่มีน้ำแข็งยูนิคเหมือนบ้านเราครับ หากอยากดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ ผมแนะนำ ดังนี้
- Minute Maid NIMBU FRESH – ออกเสียงว่า “นิมบู” เครื่องดื่มรสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดจากเลม่อน ให้รสชาติผลไม้มากกว่าน้ำอัดลม ดื่มตอนเหนื่อยๆ ให้ความรู้สึกสดชื่น
- Mountain Dew – รสออกหวาน มีความซ่าส์น้อยกว่าไทย รสออกเค็มนิดๆ
- Limca – เครื่องดื่มยอดนิยมของคนอินเดีย รสมะนาวซาบซ่า รสชาติออกไปทางน้ำอัดลม แต่มีความซ่าน้อยกว่าบ้านเรา หาซื้อง่าย
- Sprite – ฉันชอบสไปรท์ในตัวเธอ อันนี้เซฟมาก ดื่มแล้วรอด รสชาติเค็มนิดๆ ไม่ซ่ามาก
- น้ำมะม่วง Slice – รายการนี้ชอบเป็นการส่วนตัวครับ เป็นน้ำมะม่วงอินเดีย รสชาติคล้ายมะม่วงน้ำดอกไม้ รสหวาน แต่ดื่มง่าย สำหรับคนชอบมะม่วงปล. 1 สำหรับสาวก Coke รสซาบซ่าส์น้อยมาก มีรสขมติดปลายลิ้น สรุปคือ ไม่ประทับใจครับ
ปล. 2 เวลาสั่งให้เติมคำว่า Ice (ไอซ์) นำหน้าด้วย เพื่อย้ำว่าเอาเย็นๆๆๆๆ
สภาพอากาศและฤดูกาลต่างๆ ที่เลห์ ดูที่ชาร์ทด้านล่างนี้เลยครับ
ข้อมูลสภาพอากาศ : http://www.rltgo.com/blog/best-time-to-travel-to-leh-ladakh/
—————————————–
เกี่ยวกับทริป “ตะลุยเมืองเลห์แบบจัดเต็ม”
- เป็นทริปที่ผมและยัยหมวยไปเที่ยวถ่ายภาพกับเพื่อนๆ อีก 6 คน ใช้เวลาท่องเที่ยว 10 วัน 9 คืน เดินทางช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2559
- เที่ยวกันที่ระดับความสูงตั้งแต่ 3,500 – 5,359 เมตร ตะลุยหลายเมืองทั้งใน Leh, Lamayuru, Alchi, Nubra Valley
- สัมผัสการท่องเที่ยวหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาปน้ำเค็ม ถนนที่คดเคี้ยวบนเขาสูง ได้เจอวิวสวยดุจเทพนิยายที่มีทั้งทุ่งดอกไม้-ลำธาร-ม้าป่า ได้ไปขี่อูฐหนอกคู่ลุยทะเลทรายสีเงิน
- ได้ชมทัศนียภาพที่เป็นเอกลักษณ์อย่าง Moonland รวมถึงได้สักการะวัดสำคัญๆ หลายแห่ง ได้เห็นถึงความศรัทธาอันแรงกล้าของชาวลาดักห์ที่มีต่อพุทธศาสนา
- ส่วนตัวผมถ่ายรูปไปทั้งหมด 6,477 รูป กินพื้นที่ 230 GB กล้อง 2 Body : Nikon D810 / Nikon D750
- เดินทางด้วย Tempo Traveller พร้อมคนขับรถที่ชำนาญทาง รถนั่งได้ 12 คน
- เราจ้างไกด์ท้องถิ่นที่พูดภาษาอังกฤษได้ มีความชำนาญในพื้นที่เป็นอย่างมาก
—————————————–
ไปเที่ยวเมืองเลห์กันเถอะ
รวมตัวเพื่อเดินทาง : 18:00 น. พวกเรานัดรวมตัวเพื่อออกเดินทางกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ อุปสรรคต่างๆ มักเข้ามาทักทายความมุ่งมั่นของเราเสมอ วันนั้นรถติดและฝนตกหนักมาก ผมและยัยหมวยพาตัวเองมาถึงสนามบินอย่างทุลักทุเล แถมตัวผมเองก็เพิ่งเสร็จจากไปลุยถ่ายงานอีเวนท์ที่เขาใหญ่ นอนก็น้อย แต่ก็กะว่าจะไปนอนเอาบนเครื่องนี่ล่ะครับ โดยเราออกเดินทางด้วยสายการบิน Thai Airways ซึ่งกินดีอยู่ดีสุดๆ มีหนังให้ดูด้วย (แต่ง่วงไง เลยดูแป๊บเดียว พอกินอาหารเสร็จแล้วก็หลับยาวเลย) เรา Landing ที่ Terminal 3 สนามบิน Indira Gandhi International Airport กันตอนตี 3 เสร็จแล้วต้องรีบเดินทางต่อไปยัง Terminal 1D เพื่อนั่งเครื่องต่อไปเมือง Leh ด้วยสายการบิน Go Air
แต่เรื่องกลับไม่ง่ายแฮะ เพราะ shuttle Bus เที่ยวแรกมีตอนตี 4.15 น. ถ้าเรารอรถบัส เราอาจจะตกเครื่อง เราเลยตัดสินใจนั่ง Taxi ไปครับ ซึ่ง… เสียเงิน 1,000 รูปีแน่ะ แถมคนขับรถยังขอทิปเพิ่มอีกแน่ะ (มิน่าล่ะดูขยันช่วยยกกระเป๋าจัง) ดังนั้นผมไม่แนะนำให้เอาอย่างผมนะ ควรเลือกสายการบินให้ถูกต้องตามที่บอกไปด้านบนครับผม น้องๆ อีกกลุ่มนึงนั่ง Jet Airways ครับ ไม่ต้องมาต่อเครื่อง บินกันสบาย นอนกันสบายเลย 55555
จาก New Delhi บินสู่เมือง Leh ที่นั่งที่ดีที่สุดคือริมหน้าต่างครับ ควรเตรียมกล้องเอาไว้ก่อนเครื่องจะออก แล้วเฝ้าดูทิวทิศน์ตะการตาระหว่างทางไปเมืองเลห์ให้ดีๆ โดยเฉพาะ 15 นาทีก่อนเครื่องจะลง ยิ่งถ้าได้ไฟลท์เช้าตรู่ เราจะได้ฟินกับวิวราคาร้อยล้านแบบนี้
และปิดท้ายด้วยวิวนี้ 5 นาทีก่อนเครื่อง Landing
พวกเราไปถึงสนามบินเมืองเลห์กันประมาณ 8 โมงเช้า ซึ่งทางโรงแรมก็ส่งคนมารับเราไปยังโรงแรม เพื่อนอนพักผ่อนและปรับสภาพร่างกาย เดี๋ยวพอนอนพักกันจนอิ่มแล้ว พวกเราจะไปเดินเที่ยวตลาดเมืองเลห์กันครับ
ที่พักที่ตัวเมืองเลห์โอเคไหม?
ตอนที่จองโรงแรม ผมเลือกจองโรงแรมโดยพิจารณาจากคะแนน Review และสถานที่ตั้งโรงแรม แน่นอนครับว่าราคาก็ควรจะไม่แพงเกินไป แต่จากประสบการณ์ที่มาเลห์รอบก่อน โรงแรมในตอนนั้นอยู่ห่างจากตัวเมืองพอสมควร ชีวิตวัยรุ่นเลยขาดสีสัน ดังนั้นคราวนี้ผมเลยเลือกพักใกล้ Main Bazaar ครับ แต่ก็ไม่ได้ใกล้เกินไป ไม่งั้นคงจะต้องนอนฟังเสียงแตรรถกันทั้งคืน
สำหรับที่พักที่พวกเราเลือกคือที่ Omasila Hotel ครับ อยู่ไม่ไกลจากตลาด (ใช้เวลาเดิน 10-15 นาที) เป็นโรงแรมขนาดกลางที่ตกแต่งน่ารัก มีสวนสวยๆ ไว้ให้แขกได้พักผ่อนหย่อนใจ โรงแรมนี้ได้คะแนนรีวิวสูงมาก (ราคาก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อครับ) จุดเด่นของโรงแรมนี้คือ การบริการที่ดีมาก พนักงานยิ้มแย้มทักทาย สุภาพ ที่สำคัญอาหารบุพเฟ่ต์ที่นี่รสชาติดีครับ แม้จะเป็นอาหารอินเดีย แต่ทางโรงแรมจะมีเมนูจากเนื้อไก่ไว้สำหรับมื้อเย็นเสมอ และหากอยากจะปรุงอาหารเอง เราสามารถขอใช้ครัวของเค้าได้ครับ
ข้อดีของโรงแรม
- บริการดี ใส่ใจ พนักงานขยัน สุภาพ
- วิวจากโรงแรมสามารถมองเห็นทิวเขาน้ำแข็งได้ สวยมากครับ โดยเฉพาะยามเช้าและเย็น
- อาหารบุพเฟ่ต์รสชาติดีกว่าหลายร้านที่ผมเคยทาน แต่คนไทยถ้าเจออาหารแบบนี้ทุกวันน่าจะเบื่อ
- ของหวานรสชาติดีนะ
- ห้องพักสะอาด ที่นอนนุ่มสบายแทบไม่อยากตื่น
ข้อเสียของโรงแรม
- สัญญาณ wifi ช้า แต่ก็คิดว่าคงช้ากันหมดทั้งเมืองแหล่ะ
- มีอาการไฟตกบ้างบางครั้ง
- ถ้าต้องการน้ำอุ่น ให้เปิดทิ้งไว้สัก 2 นาที น้ำอุ่นจะมา
คะแนนรีวิว : 8/10 ครับ
ตลาดเมืองเลห์ (Leh Main Bazaar) อยากรู้จักเมืองไหนให้เที่ยวไปตลาด
Leh Main Bazaar ถือเป็นย่านการค้า เป็นแหล่งรวมร้านค้ามากมาย ทั้งของฝาก เสื้อผ้า เครื่องประดับ ร้านขายยา ร้านหนังสือ เอเจนท์ทัวร์ ร้านเช่ารถ ผลไม้ อาหารการกิน ของสดของแห้ง ฯลฯ ที่นี่จะคึกคักมากเป็นพิเศษในช่วงบ่ายแก่ๆ เป็นต้นไปครับ
ผมเห็นความเจริญมุ่งเข้าสู่เมืองเลห์อย่างรวดเร็ว สภาพ Main Bazaar ในปี 2016 เปลี่ยนแปลงไปจากปี 2014 เป็นอย่างมากครับ
แต่ถึงจะเปลี่ยนไปอย่างไร ตลาดเมืองเลห์ก็ยังคงมีเสน่ห์ มีสีสันน่าสนใจเสมอๆ ลองชมภาพกันครับ
ระหว่างเดินเล่นในตลาด ผมเผอิญเห็นนักท่องเที่ยวสาวฝรั่งเศสกำลังนั่งสเก็ตช์ภาพของตลาดเมืองเลห์อยู่ ภาพที่เธอวาดสวยมาก!! ผมกับเพื่อนๆ เลยไม่พลาดที่ขอถ่ายภาพกับเธอ เธอชื่อ Sophie Bataille
มาทราบภายหลังว่าเธอเป็นศิลปินที่ดังมากในฝรั่งเศส แวะไปดูผลงานของเธอได้ที่นี่ครับ ผลงานโซฟี
ความเจริญมาพร้อมกับความยากจน
เมื่อเมืองพัฒนาแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่พัฒนาไปพร้อมเมืองคือ… ขอทานครับ ผมเห็นจำนวนขอทานเพิ่มมากกว่าเดิม และการเรียกร้องเงินจากนักท่องเที่ยวไม่ใช่แค่ 5-10 รูปีเสียแล้ว พวกเค้าต้องการ 100 รูปี!!! ซึ่งคงไม่ได้เงินจากผมแน่นอน
เราเดินชมตลาดกันจนพลบค่ำ แล้วจึงค่อยๆ เดินกลับไปยังโรงแรมซึ่งอยู่ไม่ไกล แต่ร่างกายพวกเรายังไม่ชินกับสภาพแวดล้อมของเมืองเลห์ ทำให้เรารีบเดินไม่ได้อย่างใจคิด เวลาที่คนท้องถิ่นบอกว่า 15 นาที ก็กลายเป็น 30 นาทีสำหรับพวกเรา โชคดีที่มีร้านค้ามากมายให้เราแวะชมตลอดทาง ทำให้เราหายเหนื่อยได้ด้วยการชอปปิ้งบำบัด
อาหารค่ำมื้อแรกที่เมืองเลห์ถือเป็นมื้อรับน้อง คณะเดินทางของเรายังไม่มีใครแสดงอาการงอแง ค่ำนั้นพวกเราจบมื้ออาหารกันตั้งแต่หัวค่ำ พร้อมกับทานยา Diamox กันคนละเม็ดเพื่อช่วยลดอาการ Altitude Sickness
พรุ่งนี้เราจะเดินทางไปชมความสวยงามของสถานที่ท่องเที่ยวต้องห้ามพลาดในเมืองเลห์ อาทิ Shey Palace, Thiksey Monastery, Hemis Monastery, Stock Palace Museum กันจนเต็มวัน โดยเราจะไปหามุมถ่ายภาพแสงเย็นสวยๆ มาฝากเพื่อนๆ ด้วยครับ
อ่านรีวิวท่องเที่ยวตอนที่ 2 ได้ที่นีครับ : Leh – Ladakh ครั้งเดียวคงไม่พอ (ตอน 2)
——————————————
“เพราะการเดินทางทำให้โลกใบเดิมของเรากว้างขึ้น” ประโยคนี้ทำให้ผมและแฟนจับมือกันออกเดินทางไปเรียนรู้โลกกว้าง จนเป็นที่มาของเพจ “หนีงานไปเที่ยว” และ Blog ที่ชื่อ www.ibreak2travel.com อ่านมาถึงบรรทัดนี้เราอยากบอกว่า…
ย้อนกลับไปหลายปีก่อนตอนรู้จักกันใหม่ๆ “อีพริ้ง คือ นักท่องเที่ยวที่ต้องทำงานประจำ ส่วนยัยหมวยติ๊ดตี่ คือ คนทำงานประจำที่อยากเที่ยวบ้าง” เราต่างกันเหลือเกิน แต่เมื่อมาคบกัน 2 ความต่างก็หาจุดลงตัวจนทำให้เรามาถึงจุดที่อยากทำเพจพาเพื่อนๆ คนทำงานไปเที่ยวกับพวกเราบ้าง ถ้าเราไปได้ ใครๆ ก็ไปแบบเราได้แน่นอน
เราขอฝากร้านด้วยนะ แวะไปกด Like เพจกันหน่อย (อย่าลืมตั้งค่าเป็น See First หรือ “เห็นก่อน”) จะได้รู้ว่าพวกเรายังมีคุณๆ อยู่เสมอ
www.facebook.com/ibreak2travel/
——————————————
หนีงานไปเที่ยว : http://www.facebook.com/ibreak2travel/
“เพราะการเดินทางทำให้โลกใบเดิมของเรากว้างขึ้น” ประโยคนี้ทำให้ผมและแฟนจับมือกันออกเดินทางไปเรียนรู้โลกกว้าง จนเป็นที่มาของเพจ “หนีงานไปเที่ยว” และ Blog ที่ชื่อhttp://www.ibreak2travel.com อ่านมาถึงบรรทัดนี้เราอยากบอกว่า…
เราขอฝากร้านด้วยนะ แวะไปกด Like เพจกันหน่อย (อย่าลืมตั้งค่าเป็น See First หรือ “เห็นก่อน”) จะได้รู้ว่าพวกเรายังมีคุณๆ อยู่เสมอ
http://www.facebook.com/ibreak2travel/
อยากทราบว่าปริมาณ “ออกซิเจนกระป๋อง” หนึ่งกระป๋องใช้ได้นานแค่ไหนครับ
(คือเปิดแล้วต้องใช้ทีเดียวหมดเลยมั้ยครับ)
แล้วควรซื้อไว้อย่างน้อยกี่กระป๋องครับ? (ต้องใช้ทุกวันเลยรึเปล่าครับ)
ออกซิเจนกระป๋อง 1 มาตรฐาน ใช้ได้ประมาณ 10-20 ฟอดครับ ปิดแล้วใช้ไม่หมดเก็บไว้ได้ครับ ลักษณะจะคล้ายกับกระป๋องสเปรย์ครับ หากเตรียมตัวไปดี ผมว่า 1 คน 1 กระป๋องพอครับ แต่ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง ควรใช้เป็นแทงค์ออกซิเจนครับ ราคาประมาณ 1,500 บาท ใส่ไว้บนรถได้เลย มีหน้ากากไว้สำหรับหายใจด้วยครับ
ตอนที่ผมไป ผมไม่ได้ใช้เลยครับ คนที่อยู่ในทริปส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ใช้ครับ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของไกด์หรือเจ้าหน้าที่โรงแรม เกี่ยวกับการปรับสภาพร่างกายนะครับ ไม่ดื้อนะครับ
รอชมอยู่นะครับ ตอน3