จากทะเลสาบน้ำเค็มสู่ทะเลทรายสีเงิน มหัศจรรย์ธรรมชาติแห่งลาดักห์
ผมเชื่อว่า 90% ของคนที่มาเยือนเมืองเลห์ นั้นมักจะมีทะเลสาบ Pangong (ปันกอง) เป็นหนึ่งในสถานที่ต้องห้าม… พลาด ผมเองก็เช่นกัน
จำได้ว่าผมได้ไปเห็นภาพทะเลสาบปันกองจากตากล้องคนนึงในอินเตอร์เน็ต และเค้าใส่คำบรรยายใต้ภาพไว้เพียงว่า “ปันกอง ทะเลสาบน้ำเค็มสีคราม แห่งลาดักห์” เพียงเท่านั้นผมก็รีบหาข้อมูลทันที!!
Pangong คือทะเลสาบน้ำเค็มสีครามสด (สี turquoise) ที่อยู่สูงที่สุดในโลก เป็นทะเลสาบที่มีภูมิประเทศอันเป็นเอกลักษณ์ เราจะได้เห็นภาพท้องฟ้าสีครามกับเนินเขาที่มีพื้นผิวแปลกตา สะท้อนอยู่ในน้ำใสๆ ของทะเลสาบ โดยมีธงมนต์หลายร้อยผืนและเจดีย์สีดำเป็นฉากหน้า ผู้คนมากมายต่างเดินทางมาเพื่อพิสูจน์ความงามของทะเลสาบแห่งนี้
แต่ทะเลสาบปันกองไม่ใช่อัญมณีเพียงเม็ดเดียวแห่งแคว้นลาดักห์ ที่นี่ยังมีอัญมณีเม็ดงามอยู่อีกหลายเม็ดให้เราได้ค้นพบ และหนึ่งในนั้นคือทะเลทรายสีเงินแห่งหุบเขานูบร้า หรือ Silver Sand Dune of Nubra Valley ทะเลทรายสีเงินกับภูมิประเทศที่ต่างจากปันกองโดยสิ้นเชิง แต่กลับมีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ตามผมมา ผมจะพาเพื่อนๆ ไปชมความงามของอัญมณีทั้งสองเม็ดนี้กันครับ
จากเมืองเลห์สู่ปันกอง
ทะเลสาบปันกอง (Pangong Tso) หรือชื่อว่าทะเลสาบผางกงโฉ (ในภาษาจีน) นั้นตั้งอยู่ตอนเหนือสุดของแคว้นลาดักห์ เป็นพื้นที่พรมแดนทับซ้อนของอินเดียและจีน (พื้นที่เขตการปกครองตนเองทิเบต) พื้นที่ของทะเลสาบเองก็มีพื้นที่ครอบคลุมรอยต่อของทั้ง 2 ประเทศเช่นกัน โดย 40% ของความยาวทะเลสาบจะอยู่ในอินเดียและส่วนอีก 60% ที่เหลือจะอยู่ในดินแดนจีน
คาดว่าสักวันนึงผมคงจะได้นำภาพความงามของปันกองจากฝั่งประเทศจีนมาฝากเพื่อนๆ ครับ แต่วันนี้เรามาชมปันกองจากฝั่งอินเดียกันก่อนนะ
การเดินทางมาเที่ยวที่ทะเลสาบปันกองสามารถทำได้ทั้งแบบไปเช้า-เย็นกลับและแบบไปค้างคืนครับ
- โดยหากเลือกเที่ยวแบบไปเช้า-เย็นกลับ เราจะต้องตื่นออกจากที่พักในตัวเมืองเลห์กันแต่เช้าตรู่ เพื่อให้เดินทางไปถึงทะเลสาปปันกองกันในช่วงเที่ยงหรือบ่ายต้นๆ (จะไปถึงเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังนะ)
- ส่วนถ้าเลือกแบบมาค้างคืนนั้น เราจะได้ชมพระอาทิตย์ตกและพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเลสาปปันกองกันอย่างจุใจเลย โดยเราจะไปนอนค้างคืนกันในกระโจมริมทะเลสาปเลยครับ หากโชคดีฟ้าไร้เมฆ เราก็จะได้ถ่ายภาพทางช้างเผือกหรือถ่ายภาพดาวหมุนกันที่ปันกองเลยทีเดียว
- การเดินทางไปเที่ยวทะเลสาบปันกอง ต้องทำ Inner Line Permit นะครับ สามารถติดต่อ Local Tour Agent หรือโรงแรมที่เราพัก เพื่อขอทำ Inner Line Permit ได้ครับ ใช้เวลา 2-3 วัน
จากเมืองเลห์ไปยังทะเลสาบปันกองนั้นใช้เวลาประมาณ 4-6 ชั่วโมง กับระยะทาง 149 กิโลเมตร บนถนนที่สูงชัน คดเคี้ยว และไม่มีรั้วกั้นขอบทาง !!! ถ้าถามว่าอันตรายไหม ผมบอกเลยว่าเสียวกันทั้งคันรถ ดังนั้นถ้าไม่ใช่คนขับที่มีประสบการณ์ ก็ไม่ควรจะพาชีวิตไปเสี่ยงนะครับ
ปัจจัยที่ทำให้การเดินทางนั้นล่าช้า เป็นได้หลายกรณีครับ เช่น
- ถ้าในช่วงฤดูฝนถนนอาจถูกน้ำท่วมจนรถข้ามไม่ได้ หรืออาจมีดินสไลด์ลงมาปิดถนน จนต้องรอเจ้าหน้าที่มาช่วยกันเคลียร์ทาง หากมาในช่วงฤดูหนาวเราอาจพบว่าน้ำแข็งเกาะผิดถนนจนรถไม่สามารถสัญจรได้ ดังนั้นการมาเที่ยวเมืองเลห์ ควรเช็คข้อมูลเรื่องสภาพอากาศให้ดี เลือกเที่ยวในฤดูการที่เหมาะสมครับ จะได้ไม่ผิดหวัง ส่วนใหญ่ที่นี่เค้าจะนิยมเที่ยวกันตั้งแต่เดือน เม.ย. – ก.ย. นะครับ แต่จะดีที่สุดช่วงเดือน ก.ค. – ก.ย. เพราะอากาศจะแจ่มใสกว่าช่วงอื่นๆ
- วิวสองข้างทางนั้นสวยงามเกินกว่าจะก้มหน้าหลับได้ครับ บางคนอาจจะต้องจอดถ่ายภาพกันทุกๆ 15-20 นาทีเลยเชียวครับ ทั้งทัศนียภาพของภูมิประเทศที่แปลกตา เมื่อภูเขารูปทรงสวยๆ พื้นผิวแปลกๆ เจอกับกับธารน้ำและทุ่งหญ้า สิ่งที่ควรทำ คือ ตะโกนบอกคนขับให้หยุด แล้วรีบกรูกันลงไปถ่ายภาพกันให้เต็มที่ ถามว่าคนขับจะเบื่อไหม ? บอกเลยครับว่า “เค้าชินแล้ว ^___^ “ ส่วนใหญ่จะฝืนยิ้มแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไร เต็มที่เลย พวกคุณไม่ได้มาเมืองเลห์บ่อยๆ” เราอาจจะเกรงใจเค้าครับ แต่ถ่ายวิวไว้เยอะๆ เถอะ เชื่อผม นานๆ จะได้มาทีเนอะ
เตรียมเสบียงไว้รองท้องด้วยนะ
ระหว่างที่เดินทาง เราอาจจะเพลิดเพลินกับการถ่ายภาพตลอดสองข้างทาง อาจจะหลับๆ ตื่นๆ ไปบ้าง แต่อย่าลืมที่จะเตรียมเสบียงไว้รองท้องนะครับ ยิ่งจอดแวะถ่ายภาพมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งไปถึงที่หมายช้า ควรเตรียม Energy Bar, ขนมขบเคี้ยวที่ให้พลังงาน, อาหารแห้ง และน้ำดื่มเอาไว้ ไม่งั้นหมดแรงก่อนจะไปถึงปันกองแน่นอน
Chang La Pass แค่เอื้อมก็เกือบถึงฟ้า
ก่อนจะไปถึงทะเลสาบปันกอง เราต้องผ่าน Chang La Pass ครับ ด้วยความสูงระดับ 5,360 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ทำให้ Chang La เป็นถนนที่รถสัญจรได้ที่สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก แม้จะมีแดด แต่ที่นี่ลมแรงและอากาศหนาวเย็นตลอดเวลา
- ที่นี่มีวิวที่ทำให้รู้ว่า “ยอดเขาน้ำแข็งก็ใกล้แค่เอื้อม”
- ที่นี่มีห้องน้ำที่ให้เราได้ปลดทุกข์ได้ที่จุดสุดยอด
- ห้องน้ำที่นี่ก็มีสัจธรรมให้เราค้นพบเช่นกัน (TwT)
- ที่นี่มีวัดเล็กๆ ชื่อ Changla Baba ไว้ให้เราไปไหว้พระ-ถ่ายภาพ
- ที่นี่มาแล้วอย่าลืมถ่ายรูปหมู่หน้าป้ายนะ
- ที่นี่อย่าอยู่นาน 15-20 นาทีพอ ไม่งั้นจะเดี้ยง!!
Check in Pangong
หลังจากเดินทางกันอย่างยาวนานในที่สุดก็ถึงแล้ว ทะเลสาบปันกอง ทะเลสาบน้ำเค็มสีครามสดที่ระดับความสูง 4,350 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล จัดเป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่อยู่สูงที่สุดในโลก ทะเลสาบแห่งนี้มีความยาวถึง 134 กิโลเมตร พาดผ่านพื้นที่ประเทศอินเดียและจีน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 604 ตารางกิโลเมตร โดยส่วนที่กว้างที่สุดของทะเลสาบนั้นกว้างถึง 5 กิโลเมตรเลยทีเดียว
ประมาณ 10 นาที ก่อนจะถึงทะเลสาบปันกอง อยากให้เพื่อนๆ เตรียมตัวไว้สักนิดครับ เราจะมองเห็นจังหวะที่ปันกองค่อยๆ เผยความงามให้เราได้เห็น โดยเริ่มจากสามเหลี่ยมเล็กๆ ปลายสายตา จนค่อยๆ กว้างขึ้นจนพวกเราต้องร้อง “ว๊าวว!!!”
ทะเลสาบปันกองสวยสุดเวลาไหน?
จากที่ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ทะเลสาบปันกองทั้งแบบไปเช้า-เย็นกลับ และแบบไปค้างคืนนั้น ผมขอสรุปเลยว่า ทะเลสาบปันกองนี่สวยทุกเวลา แต่ทุกฤดูหรือไม่นั้นยังไม่ได้พิสูจน์ ในช่วงฤดูหนาว น้ำที่ทะเลสาบปันกองจะเย็นจนเป็นน้ำแข็งโดยสมบูรณ์ครับ ผมยังไม่เคยได้มีโอกาสมาเห็นด้วยตา แต่แอบวางแผนในใจไว้ว่าอยากมาดูสักครั้ง ไม่รู้ว่ายัยหมวยจะยอมมาด้วยไหมเนี่ย!!??
มาดูทะเลสาบปันกองในแต่ละช่วงเวลาของวันกันครับ
ช่วงเช้าพระอาทิตย์จะขึ้นจากทางด้านขวามือครับ (หากยืนหันหน้าเข้าทะเลสาบ) ยิ่งถ้าตื่นเช้าๆ ไปรอแสงได้จะยิ่งดีมากเลย
พอช่วงสายถึงบ่ายพระอาทิตย์จะอยู่เหนือศีรษะเราพอดี แสงจะแข็งกว่าช่วงเช้าหรือเย็น แต่หากวันไหนฟ้าเคลียร์ เราก็จะได้ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม น้ำสีคราม และแสงเงาน่าสนใจบนพื้นผิวของภูเขาทางด้านหลังครับ
อีกช่วงเวลาสวยของทะเลสาบปันกองคือช่วงแสงเย็น ที่พระอาทิตย์จะลบเหลี่ยมเขาทางด้านซ้าย (หากหันหน้าเข้าทะเลสาบ) ไปลองชมภาพกันครับ
มุมไหนถ่ายภาพสนุก?
มุมถ่ายภาพที่ทุกคนใฝ่ฝันถึงคือการไปยืนถ่ายภาพที่แหลมเล็กๆ ที่ยื่นออกไปในทะเลสาบ ที่มุมนี้เราจะได้ภาพภูเขาสะท้อนน้ำสวยๆ ถือเป็นมุมมหาชนมุมนึงครับ แต่นอกจากมุมนั้นแล้วยังมีอีกหลายมุมเลย หากมีเวลาสักนิด ได้เดินรอบทะเลสาบ พวกเราจะได้มุมน่าสนใจแบบนี้ครับ
สภาพที่พักเป็นยังไง?
สำหรับใครที่ต้องการมาพักค้างแรมที่นี่นั้น สามารถติดต่อที่พักผ่านทางเว็บ online booking ทั้งหลายครับ หรือหากอยากจะมาติดต่อกับ local tour agent ในเมืองเลห์ก็ทำได้ ผมแนะนำให้จองที่พักมาก่อนนะครับ อย่ามา walk in เพราะเค้าจะเตรียมอาหาร ที่พัก ให้เพียงพอต่อการจองล่วงหน้าครับ
สภาพที่พักนั้นจะไม่ได้เป็นสิ่งปลูกสร้างถาวร เนื่องมาจากข้อกำหนดในการห้ามมีสิ่งปลูกสร้างถาวรในพื้นที่ทับซ้อนนี้ครับ ดังนั้นที่พักส่วนใหญ่จะเป็นกระโจม เป็นเต๊นท์ หรือเป็นบ้านมุงสังกะสี
รอบล่าสุดพวกเราไปพักที่ Martsemik เป็น Luxury Camp ที่ตั้งอยู่ใกล้กับทะเลสาบเลยครับ เรียกว่าตื่นเช้ามาก็เดินลงมาถ่ายภาพได้เลย แต่ที่นี่ไฟฟ้าจะเปิด-ปิด เป็นเวลาครับ ในเต๊นท์จะมีตะเกียง LED ไว้ให้ด้วย ภายในเต๊นท์จะมีเตียงขนาดใหญ่ 2 เตียง พร้อมผ้าห่มที่หนามากๆ ไว้ให้เราห่มนอน มีห้องน้ำในตัวพร้อมโถสุขภัณฑ์แบบนั่งครับ มีน้ำให้อาบ มีอ่างล้างหน้า แต่แนะนำให้ใช้น้ำดื่มในการแปรงฟันและล้างหน้านะครับ เพราะประปาในที่พักเค้าใช้น้ำจากทะเลสาปมากรองครับ รสชาติจะแปร่งๆ
สำหรับที่นี่ผมให้คะแนนดังนี้ครับ
- การบริการ 4/5 บริการสุดๆ ไปเลย
- สภาพที่พัก 3/5 ถือว่าดีที่สุดที่ปันกอง
- รสชาติอาหาร 3.5/5 มีหลายเมนูรสชาติถูกปาก แต่ไม่มีเนื้อสัตว์นะ
- วิว : เอาไปเลย 5/5 วิวนี่หลักล้าน
เว็บไซต์ของแคมป์ครับ : http://www.martsemik.com/
อุณหภูมิที่ทะเลสาปปันกองนั้นหนาวเย็นนะครับ ในช่วงเดือนสิงหาคม ช่วงกลางคืนอุณหภูมิอาจลดลงไปถึง 0 องศา ดังนั้นควรเตรียมอุปกรณ์กันหนาวมาให้ครบๆ นะครับ
———————-
หลังจากเที่ยวทะเลสาปสีครามกันจนชุ่มฉ่ำใจแล้ว ผมจะพาเพื่อนๆ ไปสัมผัสอีกหนึ่งสถานที่สำคัญแห่งแคว้นลาดักห์ครับ ที่นี่มีทะเลทรายสีเงิน หรือ Silver Sand Dune อันเลื่องชื่อ ที่นี่มีอูฐหนอกคู่ที่ให้เราขี่ตะลุยทะเลทรายได้ ที่นี่มีวัดเก่าแก่บนเนินเขาสูงที่สวยงามไม่แพ้วัดใดในลาดักห์ ที่นี่คือ Nubra Valley ตามผมมาเลยครับ ^_^
Nubra Valley อยู่ที่ไหน?
นูบร้าวัลเล่ย์อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นลาดักห์ แต่อยู่ทางเหนือ 150 กิโลเมตรจากเมืองเลห์ มีชื่อเดิมว่า Ldumra (แปลว่าภูเขาแห่งดอกไม้) เป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกผลไม้ อาทิ แอปเปิ้ล แอปปริคอต เป็นต้น อากาศที่นี่อบอุ่นกว่าเลห์ ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 3,048 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล (ต่ำกว่าเลห์) ทำให้มีอากาศที่อบอุ่นกว่า
การเดินทางจากเมืองเลห์มายังนูบร้าวัลเลย์นั้นใช้เวลาประมาณ 6-7 ชั่วโมงครับ เราจะต้องผ่านเส้นทางถนนที่สูงที่สุดในโลก โดยจุดที่สูงที่สุดนี้คือ Khardung La Pass ที่ระดับความสูงราว 5,602 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งที่จุดสูงสุดนี้เราจะสามารถมองเห็นแนวเขา Karakoram แห่งปากีสถานได้ด้วยครับ
การมาเที่ยวนูบร้าวัลเลย์นั้นต้องมีการทำ Inner Line Permit เช่นเดียวกับตอนที่ไปเที่ยวทะเลสาบปันกองนะครับ สามารถแจ้งทาง Local Tour Agent ให้ดำเนินการได้เช่นกัน ใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน
ที่ Khardung La Pass นั้น ไม่ควรหยุดเที่ยวนานนะ สัก 15-20 นาที กำลังพอดีครับ จากนั้นควรเดินทางต่อได้แล้ว ไม่เช่นนั้นอาจจะมีอาการแพ้ความสูงได้ครับ
วิวสองข้างทางสู่นูบร้าวัลเลย์นั้นมีเสน่ห์ไม่แพ้เส้นทางไหนๆ ครับ ภูเขารูปทรงแปลกตา ถนนที่คดเคี้ยวไปตามภูเขาสูง มีเสน่ห์จนพวกเราต้องแวะถ่ายภาพกันไปตลอดทาง เพื่อนผมคนนึงถึงกับอุทานว่า “สวยจนน้ำตาไหล” เลยล่ะครับ 55555
ผมสังเกตเห็นว่ามีการทำถนนอยู่เกือบจะตลอดเส้นทางที่ไปยังนูบร้าวัลเลย์ โดยเฉพาะช่วงใกล้กับ Khardung La Pass ในใจก็แอบคิดว่า อีกหน่อยถนนคงสร้างเสร็จแล้ว การเดินทางจะง่ายขึ้น แต่ที่ไหนได้ ไกด์ของเราบอกว่า “เหตุที่ต้องทำถนนตลอด เพราะถนนเสียหายจากหินถล่มหรือโดนน้ำกัดเซาะบ่อยมากนั่นเอง”
และเนื่องจากระยะทางที่ไกล ใช้เวลาเดินทางเยอะ เราจึงต้องแวะทานอาหารกลางวันกันที่แคมป์ระหว่างทางครับ ที่นี่วิวสวยมากๆ เลย อาหารก็รสชาติดีเสียด้วย เป็นแคมป์สำหรับคนที่อยากล่องเรือยางในแม่น้ำ Shyok ครับ
แม่น้ำ Shyok (ชย็อค) นั้นไหลผ่าน Nubra Valley ครับ ซึ่งการที่แม่น้ำ Shyok ไหลมาบรรจบกับแม่น้ำ Nubra ก่อให้เกิดหุบเขาขนาดใหญ่ที่แยกเทือกเขา Ladakh (ลาดักห์) ออกจากเทือกเขา Karakoram (คาราโครั่ม) นั่นเอง
หลังจากอิ่มมื้อกลางวันกันแล้ว พวกเราก็ไปย่อยอาหารด้วยการขึ้นไปเที่ยว Disket Monastery กันครับ
Disket Monastery เป็นพระอารามที่เก่าแก่ที่สุดของนูบร้า สร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 14 โดยลามะชื่อ Changzem Tserab Zangpo ซึ่งเป็นพระลามะในนิกายหมวกเหลืองหรือ Gelugpa วัดนี้ถือเป็นวัดสาขาของวัด Thiksey ที่อยู่ในตัวเมืองเลห์ครับ ตัวพระอารามตั้งอยู่บนเนินเขาสูง สามารถมองเห็นได้แต่ไกล ด้านหน้าวัดมีพระพุทธรูปพระพระศรีอาริยเมตไตรยขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่อย่างโดดเด่น
การมานมัสการที่ Disket Monastery นั้นสะดวกครับ มีถนนลาดยางอย่างดี ขึ้นไปถึงด้านล่างวัดเลย แต่ต่อจากนั้น… ต้องเดินขึ้นไปด้านบนของวัดครับ 555555 มีความศรัทธาแล้วต้องมีแรงเดินด้วย แต่ผมขอบอกว่าวิวจากวัดนี้นั้นสวยมากเลยครับ
ขณะที่กำลังเดินขึ้นไปด้านบนวัดนั้น ผมได้ยินเสียงน้ำตกไหลแรงมาก ด้วยความสงสัยจึงสอบถามไกด์ของเราดู จึงได้รู้ว่าด้านหลังวัดนั้นมีน้ำตกไหลผ่าน จึงเดินตามเสียงไปครับ
สมัยก่อนนั้นพระลามะจะต้องเดินลงบันไดหินนี้ เพื่อไปตักน้ำจากธารน้ำด้านล่างขึ้นมาใช้กันในวัดครับ แค่เห็นก็เหนื่อยแทนแล้ว แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นระบบประปาเรียบร้อยแล้วนะครับ ไม่ต้องเป็นห่วง
เมื่อขึ้นไปถึงด้านบน เราสามารถเข้าไปนั่งชมบรรยากาศห้องสวดมนต์ของทางวัด รวมถึงนมัสการพระพุทธรูปในวัดได้ครับ แต่ทางวัดขอให้งดถ่ายภาพ ผมจึงเอาภาพห้องสวดมนต์มาฝากกัน หากสังเกตตรงกลางจะมีภาพขององค์ทะไลลามะและภาพของลามะเจ้าอาวาสวัดตั้งอยู่ ซึ่งถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของวัดที่แคว้นลาดักห์ครับ
เสร็จจากไหว้พระ ก็ได้เวลาของการขี่อูฐกันแล้ว ซึ่งบริเวณที่เราจะไปขี่อูฐกันนั้นเรียกว่าหมู่บ้าน Hundar (ฮุนเดอร์) ครับ เวลาที่เหมาะสมสำหรับการขี่อูฐ ก็จะเป็นช่วงเช้าและช่วงบ่ายแก่ๆ ของวันครับ เพราะอากาศไม่ร้อนเกินไป
ได้เวลาขี่อูฐกลางทะเลทรายสีเงิน
ทะเลทรายที่นูบร้านั้นทอดตัวยาวหลายกิโลเมตร เชื่อมระหว่างเมือง Disket และ Hundar โดยมีจะมีต้น Seabuckthorn ขึ้นแซมอยู่ข้างทางเป็นระยะ นอกจากที่นี่จะมีความพิเศษตรงที่มีทรายเป็นสีเงินแล้ว น้องอูฐที่นี่ก็มีความพิเศษตรงที่เป็นอูฐสองหนอก หรือ Bactrian camel นั่นเอง
อูฐสองหนอกของที่นูบร้านั้นตัวไม่ใหญ่มากครับ จะแตกต่างจากอูฐหนอกเดี่ยวในภาพยนตร์ทะเลทรายที่เราเคยเห็นกัน แต่เรื่องความน่ารักนั้นผมให้ 10/10 เลยครับ ดูสิขนตางอน หน้าหวานมากๆ 5555
การจะเข้ามาขี่อูฐที่นี่ เราต้องเสียเงินค่าผ่านทางเข้ามายังพื้นที่ทะเลทรายก่อนครับ จากนั้นจึงไปติดต่อขอนั่งอูฐ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คอยจัดลำดับคิว สนนราคาค่านั่งอูฐก็อยู่ที่ 200 รูปี ต่อ 15 นาทีเท่านั้นเอง (ประมาณ 100 บาท) ซึ่งเมื่อดูจากปริมาณนักท่องเที่ยววันนั้นกับจำนวนอูฐที่มีไว้ให้บริการ เราน่าจะรอคิวไม่นาน ดังนั้น เรารอครับ จะได้ขี่อูฐกันแล้ว เย่ๆๆๆ
ระหว่างที่เพื่อนๆ ไปขี่อูฐกัน อีพริ้งก็เดินเก็บภาพบรรยากาศของที่นี่ไปเรื่อยๆ ชมไปพร้อมๆ กันครับ
หลังจากขี่อูฐจนหนำใจแล้ว พวกเราก็เดินทางกลับเข้าที่พัก ซึ่งเป็นแคมป์น่ารักๆ อยู่ไม่ไกลจากทะเลทรายเท่าไหร่ครับ แต่ก่อนจะถึงที่พัก เผอิญเจอชาวบ้านนำเครื่องแต่งกายท้องถิ่นของนูบร้า มาให้นักท่องเที่ยวเช่าถ่ายภาพครับ แต่พวกเรากลับขอให้ชาวบ้านเหล่านั้นแต่งชุดท้องถิ่นครับ เพื่อให้เราถ่ายภาพ 55555 น่ารักดี
ค่ำคืนนี้เรานอนพักกันที่แคมป์น่ารักๆ แห่งนี้ครับ ที่หน้าเต๊นท์ทางแคมป์ปลูกดอกลาเวนเดอร์ไว้ สีสวยมากเลย
อีกสักนิดกับแสงเช้าที่ทะเลทรายสีเงิน
อย่างที่บอกครับว่าถ้าจะเที่ยวให้เต็มอิ่ม เราควรมีเวลาได้ชมความงามของนูบร้าวัลเลย์ทั้งยามเย็นและยามเช้า ดังนั้นวันรุ่งขึ้นเราจึงตื่นกันตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง เพื่อไปเก็บแสงเช้ากัน ซึ่งต้องบอกว่า “สวยมากๆ เลย จริงๆ นะ”
พวกเราจำต้องลาจาก Nubra Valley ทั้งที่ยังแอบอาลัย เพราะความประทับใจในการเดินทางนั้นมีมากมาย แต่ทริปของเรายังไม่หมดนะ !! ตอนหน้าเราจะพาเพื่อนๆ ไปสัมผัสความมหัศจรรย์ของ
“Alchi – Lamayuru ดินแดนแห่งดวงจันทร์บนดาวโลก” โปรดติดตามตอนต่อไปครับผม
———————–
“เพราะการเดินทางทำให้โลกใบเดิมของเรากว้างขึ้น” ประโยคนี้ทำให้ผมและแฟนจับมือกันออกเดินทางไปเรียนรู้โลกกว้าง จนเป็นที่มาของเพจ “หนีงานไปเที่ยว” และ Blog ที่ชื่อ www.ibreak2travel.com อ่านมาถึงบรรทัดนี้เราอยากบอกว่า…
ย้อนกลับไปหลายปีก่อนตอนรู้จักกันใหม่ๆ “อีพริ้ง คือ นักท่องเที่ยวที่ต้องทำงานประจำ ส่วนยัยหมวยติ๊ดตี่ คือ คนทำงานประจำที่อยากเที่ยวบ้าง” เราต่างกันเหลือเกิน แต่เมื่อมาคบกัน 2 ความต่างก็หาจุดลงตัวจนทำให้เรามาถึงจุดที่อยากทำเพจพาเพื่อนๆ คนทำงานไปเที่ยวกับพวกเราบ้าง ถ้าเราไปได้ ใครๆ ก็ไปแบบเราได้แน่นอน
เราขอฝากร้านด้วยนะ แวะไปกด Like เพจกันหน่อย (อย่าลืมตั้งค่าเป็น See First หรือ “เห็นก่อน”) จะได้รู้ว่าพวกเรายังมีคุณๆ อยู่เสมอ
www.facebook.com/ibreak2travel/
———————–
“การเดินทางทำให้โลกใบเดิมของเรากว้างขึ้น” การท่องเที่ยวไปยังที่แปลกใหม่ สร้างความหมายให้ชีวิตเราเสมอ แต่… จะไปยังไง เตรียมตัวยังไง มาอ่านรีวิวท่องเที่ยวสไตล์ “หนีงานไปเที่ยว” สิครับ
.
LEH – LADAKH (เลห์ ลาดักห์) ครั้งเดียวคงไม่พอ (ตอน 1) : เตรียมตัวสักนิด..ถ้าคิดจะไปเลห์
https://ibreak2travel.com/2016/09/13/my-leh-trip-01-2016/
.
LEH – LADAKH (เลห์ ลาดักห์) ครั้งเดียวคงไม่พอ (ตอน 2) : อยากเที่ยวเมืองเลห์ให้สนุก..แต่ไม่รู้ว่าจะไปเที่ยวไหนดี?
https://ibreak2travel.com/2016/09/17/my-leh-trip-02-2016/#comment-27
.
Indian Visa ขอวีซ่าไปอินเดีย (ไม่ยากหรอก)
https://ibreak2travel.com/2016/09/14/indian-visa/