โบราณว่าจะทำการใหญ่ ใจต้องนิ่ง แต่ถ้าจะให้ชัวร์จริงๆ ต้องมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย (จะได้อุ่นใจ) สวัสดีปีใหม่รับปีมังกรทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ไม่ว่าคุณจะอ่านบทความนี้ในปี พ.ศ. ไหน เราเชื่อว่าคุณคงต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใตให้ทำมาหากิน ราบรื่น งานดี เงินดี สุขภาพดี มีบริวาร และมิตรสหายที่ดี ดังนั้นถ้าคุณพอจะมีเวลา 3-4 วัน เราอยากชวนคุณไปเอาโชค เอาลาภที่ซัวเถากันครับ

ซัวเถา หรือซ่านโถว (Shantou) เป็นแผ่นดินกำเนิดของคนไทยเชิ้อสายจีนกว่า 80% บนแผ่นดินไทย ใครเป็น Fanclub เทพเจ้าองค์ไหน บินมาซัวเถา คุณจะได้รับพรจากต้นตำหรับแบบออริจินอลกันเลยไม่ว่าจะเป็น ตั่วเหล่าเอี้ย เฮี้ยงบู้ซัว (ศาลเจ้าพ่อเสือ), ไฮตังม่า (ศาลเจ้าแม่ทับทิม), ศาลเจ้าไต่ฮงกง (ปอเต็กตึ๊ง), วัดไคหยวน, แชเล้งเอีย (ศาลเทพมังกรเขียว) และวัดแปะฮวยเจียม (วัดดอกไม้ขาว) 

สำหรับความพิเศษของบทความนี้ คือ เราจะบอกวิธีการไหว้ขอพรเทพเจ้าอย่างถูกต้อง พร้อมประวัติความเป็นมา และพิกัดครับผม

ทำความรู้จัก “ซัวเถา หรือซ่านโถว (汕头 : Shantou) ” กันสักนิด

ซัวเถา หรือซ่านโถว (Shantou) เป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเลจีนตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองแต้จิ๋ว มณฑลกวางตุ้ง (Guangdong) ประเทศจีน ทิศใต้และทิศตะวันตกติดจังหวัดเจียหยาง ทิศเหนือติดจังหวัดเฉาโจว และทิศตะวันออกติดทะเลจีนใต้ ในอดีตซัวเถาเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ. 2488-2492 เป็นช่วงสงครามระหว่างจีนก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์ ทำให้ในซัวเถาเกิดภาวะความยากแค้น ยากจน ผู้คนต่างดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด

ในช่วงเวลานั้นมีเรื่องเล่าต่อกันมาในซัวเถาว่า “ประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณ์มาก ในน้ำมีปลาเยอะมาก แค่ลงไปในน้ำแป๊ปเดียวก็มีปลามาตอดขา ตอดตัวเต็มไปหมด” ประกอบกับเป็นช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศไทยที่มีการขยายตัวรวดเร็วอันเนื่องมาจากยุคของการค้าเสรีผลมาจากสนธิสัญญาเบาว์ริงในรัชกาลที่ 4 ทำให้มีความต้องการแรงงานจำนวนมาก จึงทำให้คนจีนจากซัวเถาเดินทางเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เลยเป็นสาเหตุที่ทำให้คนจีนอพยพหนีความยากจนลงเรือสำเภาจีนเสี่ยงตายจากลมพายุในทะเลมายังประเทศไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ เพื่อมาสร้างเนื้อสร้างตัว และส่งเงินกลับไปช่วยเหลือบ้านที่จีน

เอกลักษณ์ที่สำคัญของคนจีนแต้จิ๋ว คือ ความสามารถในสู้ชีวิตทำมาหากินเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัวให้มั่งมี ร่ำรวย ประสบความสำเร็จแล้วกลับไปรับครอบครัว ญาติพี่น้องที่ซัวเถาอพยพมาอยู่ที่ประเทศไทย ดังนั้นซัวเถาจึงเป็นแหล่งต้นกำเนิดของอภิมหาเศรษฐีคนดังที่คนทั่วโลกรู้จัก เช่น ลีกาชิง (Li Ka-shing) อภิมหาเศรษฐีชาวฮ่องกงระดับล้านล้านบาท, โจเซฟ เลา (Joseph Lau) มหาเศรษฐีอสังหาริมทรัพย์ชาวฮ่องกง, Ma Huateng หรือ Pony Ma เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยี Tencent และเจ้าสัวนักธุรกิจชาวไทยเชื้อสายจีนหลายตระกูล เช่น ตระกูลหวั่งหลี, ตระกูลเจียรวนนท์, ตระกูลอยู่วิทยา, ตระกูลสิริวัฒนภักดี ฯลฯ

ซัวเถาจึงเป็นกลุ่มชาวจีนที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยมากที่สุด ภาษาจีนแต้จิ๋วจึงใช้แพร่หลายมากที่สุด ซัวเถาจึงเป็นต้นกำเนิดของบรรพบุรุษของคนไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว คนจีนแต้จิ๋วในไทยจะไปเที่ยวซัวเถาก็สบายเลยครับ เพราะที่นั่นใช้ภาษาจีนแต้จิ๋วแบบที่อาม่า อากงพูดกับเราตอนเด็กๆ ซึ่งภาษาแต้จิ๋วจะใช้ในพื้นที่ 4 จังหวัดทางภาคตะวันออกของมณฑลกวางตุ้งเท่านั้น คือ เมืองซัวเถา (汕头, ซ่านโถว) เป็นเมืองหลักที่มีความเจริญมากที่สุด มีประชากรเยอะสุด, เมืองแต้จิ๋ว หรือ เฉาโจว (潮州), เมืองกิ๊กเอี๊ย หรือ เจียหยาง (揭阳) และเมืองซัวบ้วย หรือซ่านเหว่ย์ (汕尾)

รวมรีวิวเที่ยวจีน (อัพเดทปี 2024)

เสน่ห์ของซัวเถา (Shantou)

ใครไม่เคยมาซัวเถา บอกเลยว่าตอนนี้เจริญโคตร!!!! ปัจจุบันซัวเถากลายเป็นมหานครขนาดใหญ่ที่เจริญทันสมัย มีห้างสรรพสินค้า ร้านอาหารที่คนฮ่องกงต้องมาทาน และร้านค้าดังๆ เยอะมาก และยังพัฒนาเป็น 1 ใน 4 เมืองเขตเศรษฐกิจพิเศษของจีน (เซินเจิ้น จูไห่ และเซี่ยะเหมิน) มีระบบเศรษฐกิจที่เติบโต และความเจริญก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ เมืองซัวเถา (Shantou) ยังมีเสน่ห์อีกหลายอย่าง เช่น

  • ซัวเถา (Shantou) เป็นถิ่นกำเนิดเทพเจ้า ซินแส เครื่องรางของขลัง ดังนั้นจึงมีคนจีนแผ่นดินใหญ่ คนจีนฮ่องกง เจ้าสัว หรือคนทำธุรกิจนิยมมาไหว้เจ้าขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ทำการค้าเฮงๆ รวยๆ หรือมาขอบพระคุณเทพเจ้าต่างๆ สำหรับปีที่ผ่านมาและกลับมาขอพรใหม่ในทุกปี หรือบางคนจะนําชื่อ-นามสกุลไปฝากไว้ที่วัดต่างๆ เพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิต
  • คนไทยเชื้อสายจีนนิยมไปเมือง ซัวเถา (Shantou) หรือ แต้จิ๋ว หรือเฉาโจว (Chaozhou) เพื่อไปเยี่ยมญาติ ไหว้บรรพบุรุษ หรือกลับทุกเทศกาลตามประเพณี เช่น ตรุษจีน ปีใหม่ หรือเชงเม้ง
  • อาหารแต้จิ๋วสไตล์ดั้งเดิมอร่อยมากกกก!! รสชาติถูกปากคนไทย มีหลายคนจัดทัวร์เน้นกินของอร่อยๆ (อาหารต้นตำรับเยาวราชกันเยอะนะ) ด้วยคนจีนแต้จิ๋วมีฝีมือการทำอาหารทั้งทำอาหารทะเลสดให้คงรสชาติเดิม ไม่เน้นปรุงรสชาติหนักๆ อาหารจะเป็นสไตล์ภัตตาคารย่านเยาวราชที่คนไทยคุ้นเคยดี เช่น ซีฟู้ดสดๆ นึ่งปลา ปู หอย, บะหมี่-ก๋วยเตี๋ยว และต้มพะโล้จะมีทั้งขาหมูพะโล้ ชาบูพะโล้ ห่านพะโล้หัวสิงโต เชื่อกันว่าคนแต้จิ๋วเป็นคนคิดค้นสูตรพะโล้ขึ้นมาเลยทำให้รสชาติมีเอกลักษณ์โดดเด่น
  • ซัวเถา (Shantou) เดินทางสะดวกสามารถใช้รถสาธารณะ รถบัส หรือเรียกแท็กซี่ผ่าน App ของ Didi ราคาแท็กซี่น่ารักสบายกระเป๋า

บินตรงสู่ “ซัวเถา (Shantou)” กับแอร์เอเชีย (AirAsia)

ทริปนี้ต้นกับปูเป้บินตรงสู่ “ซัวเถา (Shantou)” ลงที่สนามบินเจียหยาง Jieyang Chaoshan Airport (SWA) เมืองซัวเถา (Shantou) มณฑลกวางตุ้ง (Guangdong) ประเทศจีน ด้วยสายการบิน “แอร์เอเชีย (AirAsia)” ครับผม จากดอนเมือง – ซัวเถา ใช้เวลาบินแค่ประมาณ 3 ชั่วโมง

สำหรับ “แอร์เอเชีย (AirAsia)” แม้จะเป็น Low-cost airlines แต่เป็นสายการบินราคาประหยัดที่ดีที่สุดในโลก 14 ปี ซ้อน ตารางบินดี เซฟเวลาเที่ยวได้มาก ที่สำคัญคือ “ตรงเวลา” ดีสุดๆ ซึ่งล่าสุดเดือนมิถุนายน 2566 แอร์เอเชีย และแอร์เอเชียเอ็กซ์ คว้าแชมป์ “รางวัลสายการบินราคาประหยัดที่ดีที่สุดในเอเชีย ปี 2566” ซึ่งประกาศรางวัลสายการบินยอดเยี่ยมประจำปีโดย AirlineRatings.com

รายละเอียดตารางบิน : กรุงเทพฯ ดอนเมือง (DMK) – ซัวเถา (SWA)

  • ไฟลท์ขาไป (FD 850) : 09:05 (DMK) – 13:10 (SWA)
    มาถึงซัวเถาก็แวะไปไหว้เจ้าแม่ทับทิม ทานอาหารเย็นอร่อยๆ พักผ่อนก่อนจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป
  • ไฟลท์ขากลับ (FD 851) : 13:55 (SWA) – 16:10 (DMK)
    เคาน์เตอร์เปิดให้เช็คอินเวลา 12:00 น. ถ้าเราผ่าน ตม. เข้ามาจะเป็นบริเวณหน้า Gate รอขึ้นเครื่องในโซน International Terminal จะไม่มีร้านค้าขายอาหาร น้ำดื่ม และไม่มีเล้านจ์ให้ใช้บริการนะครับ มีแค่ตู้กดน้ำร้อน (สำหรับบัตร Priority Pass จะใช้ได้เฉพาะเลานจ์ Domestic Terminal) ดังนั้นแนะนำให้สั่งอาหารตอนเลือกแพ็คสุดคุ้มล่วงหน้าไว้เลย จะได้อิ่มอร่อยระหว่างบินครับ
  • แอร์เอเชียตัวจริงเรื่องบินจีนมีบินตรงไปซัวเถามีทุกวัน (เวลาที่จีนเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมงนะ)

เวลาจองตั๋ว แนะนำให้เลือก “แพ็คสุดคุ้ม” ให้ครบ คุณจะได้ทั้ง

  • น้ำหนักโหลดกระเป๋า 20 กก.
  • เลือกที่นั่งติดกัน
  • มีอาหารร้อนๆ ขนม เครื่องดื่มเสิร์ฟระหว่างบิน (อร่อยด้วย) เช่น ผัดไทยกุ้งโตๆ และชานมไข่มุกบุก

เช็คตารางบินและจองเลยที่ : www.airasia.com

การเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองซัวเถา

จากสนามบิน Jieyang Chaoshan Airport (SWA) ของเมืองซัวเถา (Shantou) สามารถนั่งรถบัสฟรีไปสถานีรถไฟความเร็วสูงเพื่อต่อรถไฟไปเมืองอื่นๆ หรือเข้าเมืองซัวเถาโดยนั่ง Airport Express Bus หรือจองรถแท็กซี่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง

บินไปมูที่ซัวเถาตามรอยเจ้าสัว 5 วัน 4 คืน

ทริปนี้เราเที่ยวหลักๆ 3 เมืองของมณฑลกวางตุ้ง คือ เมืองซัวเถา (ซ่านโถว : Shantou) เมืองแต้จิ๋ว (เฉาโจว : Chaozhou)  และบ้านดินถู่โหลว” (Fujian Tulou) อำเภอหย่งติ้ง มณฑลฝูเจี้ยน อยากเที่ยวเองแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี วางโปรแกรมตามนี้ได้เลยครับ

วันที่ 1 : กรุงเทพฯ – ซัวเถา – ไฮตังม่า (ศาลเจ้าแม่ทับทิม) – มื้อเย็นห่านหัวสิงโต เมนูดังของซัวเถา

1. ไฮตังม่า : ศาลเจ้าแม่ทับทิม (妈屿岛)

ลงเครื่องปุ๊บก็ต้องรีบมาไหว้ “ไฮตังม่า (เจ้าแม่ทับทิม)” เป็นอันดับแรก เป็นการถือเคล็ดให้ทริปไหว้เจ้าครั้งนี้เดินทางปลอดภัย มีแต่ฟ้าใสๆ ไร้พายุฝน บอกไว้เลยว่านี่คือ “ศาลเจ้าแม่ทับทิม (妈屿岛)” ฉบับออริจินัลเลยครับคุณ!!

ความสำคัญของ “ไฮตังม่า (เจ้าแม่ทับทิม)”

“ไฮตังม่า (เจ้าแม่ทับทิม)” คือ เทพเจ้าผู้ปกปักชาวประมงและนักเดินทะเลมาตั้งแต่ครั้งอดีต ใครจะออกเรือหาปลา ท่านจะอำนวยพรให้ได้ปลากลับมาเต็มลำ ใครจะออกเรือเดินทาง ท่านจะอำนวยพรให้ปลอดภัย ไร้อุปสรรค ทำกิจการงานใดที่เกี่ยวกับการประมง หรือกิจการที่ต้องเดินทาง (ทั้งทางน้ำและทางอากาศ) ควรหาโอกาสมาไหว้ “ไฮตังม่า (เจ้าแม่ทับทิม)” ที่ซัวเถาสักครั้ง จะเป็นสิริมงคลกับกิจการ

การได้รับพลังจากธาตุน้ำ เชื่อว่าจะทำให้โชคดี มีสุข มั่งคั่ง ร่ำรวยราบรื่น และร่มเย็นเป็นสุข

เคล็ดลับการไหว้ “ไฮตังม่า (เจ้าแม่ทับทิม)”

เริ่มจากให้จุดธูป 5 ดอกไหว้ฟ้าดินก่อนแล้วคำนับรวม 3 ครั้งต่อองค์เจ้าแม่ทับทิม ปวงเทพทั้งปวง และไหว้ 4 ทิศ จากนั้นไหว้แล้วบอกชื่อ – นามสกุล ให้อธิษฐานจิตบอก “ไฮตังม่า (เจ้าแม่ทับทิม)” ที่ประทับอยู่ที่นี่ สุดท้ายให้พูดรวม 3 ครั้งว่า “บ่วงสื่ออยู่อี่ หมื่นคำอธิษฐาน ให้สมคำปรารถนา”

ซึ่งไกด์ได้แนะนำว่าตามความเชื่อของคนจีนแนะนำให้จุดธูป จุดเทียน หรือปักธูปด้วยมือซ้าย เพราะมือซ้ายมีเส้นเลือดใกล้หัวใจมากที่สุด

ทางศาลเจ้า ได้จัดกระถางธูปเอาไว้ให้ด้านนอก
จากบริเวณหน้ากระถางธูปเราสามารถเดินขึ้นไปจะเป็นบนเกาะหม่าสือเป็นที่ประดิษฐานขององค์เจ้าแม่กวนอิมปางประทานพรประทับบนดอกบัวองค์ใหญ่ แต่ว่าแค่เราเห็นบันไดก็ท้อแล้วววว!! 555

เรื่องเกี่ยวกับ “ไฮตังม่า (เจ้าแม่ทับทิม)” ที่หลายคนอาจไม่รู้

แม้จะเป็นเทพเจ้าที่มีตำนานการกำเนิดหลายเวอร์ชั่นสุดๆ แต่ตำนานที่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่ “ซัวเถา (Shantou)” เล่าสืบต่อมานั้นกล่าวว่า… “ไฮตังม่า” หรือเจ้าแม่ทับทิม นั้นเป็นลูกศิษย์ของเจ้าแม่กวนอิม เมื่อครั้งอดีตนางเห็นชาวประมงออกหาปลาด้วยความลำบาก เจอทั้งพายุ ทั้งความอดอยาก ก็เกิดความสงสาร นางจึงขออนุญาตเจ้าแม่กวนอิม ลงจากสวรรค์เพื่อมาช่วยมนุษย์ผู้ทุกข์ยาก

เจ้าแม่กวนอิมเห็นสมควร จึงอนุญาตให้ “ไฮตังม่า” ลงมาช่วยมนุษย์ได้ โดยมีกำหนดเวลาอยู่ที่ 28 วันสวรรค์ เมื่อได้รับอนุญาต “ไฮตังม่า” จึงมาเกิดเป็นลูกสาวของเจ้าเมืองซัวเถา (บางตำนานบอกว่าเป็นลูกสาวนายอำเภอ) ตำนานกล่าวขานว่าเมื่อแรกเกิดนางไม่ร้องซักแอ่ะ ผิดกับเด็กทารักทั่วไป ซ้ำโตมาก็ยังเป็นคนไม่ค่อยพูด แต่ความซุปเปอร์พาวเวอร์ของนาง คือ สามารถพยากรณ์ฟ้าฝนได้แม่นยำเหลือเกิน!!

เวลาใครจะออกเรือหาปลา นางจะคอยชี้ทิศทางให้ว่าไปทางไหนจะได้ปลา ไปทิศไหนจะปลอดภัยไร้พายุฝน หลังแสดงผลงานจนเป็นที่ประจักษ์ ชาวบ้านเลยยกย่องนับถือตั้งแต่นั้นมา ครั้นเมื่ออายุครบ 28 ปี ก็ได้เวลากลับสู่สรรค์ตามกำหนด (เค้าว่า 28 วันสวรรค์ = 28 ปีมนุษย์) เหล่าชาวบ้านจึงพากันยกย่องให้เป็น “ไฮตังม่า (เจ้าแม่ทับทิม)” หรือ เทพเจ้าแห่งท้องทะเล นับแต่นั้นมา

ว่ากันว่า “ไฮตังม่า” มีตัวตนจริง และมีบัตรประชาชนจีนด้วยนะคุณ!!! (อันนี้ไกด์เล่าให้ฟัง)

ทางลงบันไดของศาลเจ้าแม่ทับทิมจะมีภาพวาดบนผนังสะท้อนให้เห็นชีวิตผู้คนในซัวเถาทำประมง เป็นเมืองติดทะเล และการเดินทางข้ามน้ำ ข้ามทะเลของคนจีนสมัยก่อนที่ใช้เรือสำเภาจีน

ข้อมูลเพิ่มเติม

ศาลเจ้าแม่ทับทิม (妈屿岛) อยู่ที่เกาะหม่าสือ (Mazhou Island) เป็นเกาะขนาดเล็กตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวซัวเถา มีเนื้อที่ 0.90 ตารางกิโลเมตร
พิกัด : https://j.map.baidu.com/6e/rmD

2.  ร้านห่านหัวสิงโต Ri Ri Xiang E Rou Restaurant (日日香鵝肉飯店)

เสร็จจากไหว้ศาลเจ้าแม่ทับทิม แนะนำให้ไปทานห่านพะโล้หัวสิงโตร้านดังของซัวเถา Ri Ri Xiang E Rou Restaurant (日日香鵝肉飯店) ชื่อร้านอ่านว่า “หยิกหยิกเซี้ยง” แปลว่า “วันนี้ก็หอม พรุ่งนี้ก็หอม สรุปก็คือหอมทุกวัน” แค่เดินมาหน้าร้านกลิ่นก็หอมฟุ้งจริงๆ เมนูขึ้นชื่อของที่ร้านคือ “ห่านหัวสิงโตตัวใหญ่ คนจีนเรียกว่า “ไซ เถ่า ง้อ (獅 頭 鵝)” เป็นห่านที่ตัวโตมากที่สุดที่เคยเห็นมาในชีวิต !!

Ri Ri Xiang E Rou Restaurant (日日香鵝肉飯店) ร้านห่านพะโล้หัวสิงโตชื่อดังในโซเชี่ยล ดังขนาดคนฮ่องกงนิยมมาทานกัน ในจานหนึ่งจะเสิร์ฟห่าน 5 ส่วน ทั้งตับ ลำไส้ กึ๋น ไส้ และเนื้อห่านแน่น ไม่เหนียว ไม่มีกลิ่นเหม็นสาบ เครื่องในทำได้ดีสะอาด ส่วนตับห่านจะมีความนุ่มละมุน นวลๆ ทำให้นึกถึงฟัวกราส์ขึ้นมาทันที น้ำพะโล้เข้มข้น หอมเครื่องเทศ รสเค็มนำ กลมกล่อม คลุกเคล้ากันแล้วยิ่งชูรสชาติให้อร่อยมากขึ้น

ที่ร้านห่านพะโล้หัวสิงโตยังมีเมนูอร่อยอื่นๆ ด้วย เช่น ปลานึ่งราดซีอิ๊ว ผัดผักรวมมิตร (ผัดผักได้กรอบอร่อยมาก) เห็ดหูหนูผัดกุ้ง ถั่วงอกผัดผักใส่กระเทียม พะโล้เครื่องในและอื่นๆ

ข้อควรรู้ : ซัวเถาเป็นฐานการผลิตห่านหัวสิงโตเฉิงไห่ (Chenghai) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน มีประวัติศาสตร์การเลี้ยงห่านหัวสิงโตมายาวนานกว่า 300 ปี เป็นเมนูขึ้นชื่อที่เป็นที่นิยมทั้งในฮ่องกง มาเก๊า และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ข้อมูลเพิ่มเติม

ที่อยู่ : 中心城區丹虹園6幢一層14號
พิกัด : https://j.map.baidu.com/7d/-i

วันที่ 2 : ตั่วเหล่าเอี๊ย เฮียงบู่ซัว (ศาลเจ้าพ่อเสือ) – ไต่ฮงกง (ปอเต็กตึ๊ง) – Shantou’s Old town

3. ตั่วเหล่าเอี๊ยฮียงบู่ซัว (玄武山) : ศาลเจ้าพ่อเสือ

ถ้าคุณเป็นคนทำธุรกิจ นี่คือศาลเจ้าที่คุณควรได้มาสักการะสักครั้งในชีวิต!! “ศาลตั่วเหล่าเอี๊ย เฮียงบู่ซัว หรือ ศาลเจ้าพ่อเสือ (ที่เสาชิงช้า)” ที่คนไทยเชื้อสายจีนกราบไหว้กันมาแต่ช้านานนั้น ก็คือศาลจำลองที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึง “ตั่วเหล่าเอี๊ย เฮียงบู่ซัว – ศาลเจ้าพ่อเสือ (玄武山)” ต้นฉบับแห่งนี้ครับผม!!

เช้านี้เราออกจากซัวเถาเดินทางไปไหว้สักการะ ตั่วเหล่าเอี๊ย เฮี่ยงบู่ซัว (หรือศาลเจ้าพ่อเสือที่คนไทยเรียกติดปากกัน) ที่อำเภอเหล็กฮง จังหวัดซัวบ้วย ใช้ระยะเวลาเดินทางจากซัวเถาประมาณ 2-3 ชั่วโมง 

ความสำคัญของ “ตั่วเหล่าเอี๊ย เฮียงบู่ซัว”

ตั่วเหล่าเอี๊ย หรืออีกชื่อนึงว่า “เทพเจ้าประจำทิศเหนือ” เป็นเทพเจ้าที่เลื่องชื่อเรื่องความสำเร็จ และความสมประสงค์ ใครมาขอพรเรื่องค้าขาย เสริมอำนาจบารมี ขอโชคลาภ ขอพรให้มีลูก หรือขจัดอุปสรรค ปัดเป่าสิ่งเลวร้าย ก็มักจะสมหวังดังตั้งใจ เป็นเทพเจ้าที่ชาวจีนกราบไหว้มานับพันปี (ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง ค.ศ. 960-1279)

การได้มีโอกาสมาสักการะ “ตั่วเหล่าเอี๊ย เฮียงบู่ซัว” องค์จริงสักครั้ง ถือเป็นการเสริมสิริมงคลแก่เหล่าพ่อค้า-แม่ขาย ผู้ประกอบการ และนักธุรกิจเชื้อสายจีนโพ้นทะเลได้อย่างดีทีเดียว!!  

การได้รับพลังจากธาตุไฟ เชื่อว่าจะช่วยเรื่องความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง ต่อการค้าให้ราบรื่น ไร้อุปสรรค

เคล็ดลับการไหว้ “ตั่วเหล่าเอี๊ย เฮียงบู่ซัว”

เริ่มแรกให้ไปจุดธูปไหว้ “ธีกง” ก่อน ซึ่งอยู่บริเวณหอคอย “ฮกแซ (福星塔)” ซึ่งต้องอยู่ด้านในของวัด (ต้องเดินเลยศาลตั่วเหล่าเอี๊ย เข้าไปนิดนึง มุมนี้ถ่ายรูปสวยเลยล่ะ) หลังจากจุดธูปไหว้ “ธีกง” ให้อ้อมไปด้านหลัง “ธีกง” จะมีผนังที่มีรูปปั้นนูนต่ำลาย “ปลากระโดดข้ามประตูสวรรค์ (แล้วกลายเป็นมังกร)” เชื่อว่าถ้าเอามือลูบที่ผนังนี้เป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกา จะได้รับพลังดีๆ จากมังกร ช่วยเสริมบารมี และทำให้ธุรกิจราบรื่น

จากนั้นให้เราเข้าไปไหว้องค์ “ตั่วเหล่าเอี๊ย เฮี่ยงบู่ซัว” ที่ด้านในศาลเจ้า วิธีกล่าวคำอธิษฐานนั้นไม่ซับซ้อน เพียงแค่สื่อสารกับองค์ตั่วเหล่าเอี๊ยแบบตรงไปตรงมา (เหมือนคุยกับผู้ใหญ่) เช่น… เรากำลังจะทำอะไร ต้องการให้ท่านช่วยเรื่องไหน ถ้าท่านช่วยแล้วเราจะได้ประโยชน์อะไร ฯลฯ เมื่อเสร็จแล้วก็ให้บูชาธงสีดำ (ซึ่งเป็นธงประจำศาลเจ้า) กลับมาวางบูชาไว้ที่หิ้งพระที่บ้าน หรือที่ตี่จู่เอี๊ย เพื่อความเป็นสิริมงคล

แล้วถ้าโชคดี เจ้าหน้าที่ศาลเจ้า อาจอนุญาตให้เราไหว้ตั่วเหล่าเอี๊ย แบบใกล้ชิดอย่างนี้ด้วยนะ!!

นอกจาก “ตั่วเหล่าเอี๊ย เฮี่ยงบู่ซัว” แล้ว ภายในบริเวณศาลเจ้ายังมีเทวรูปของเทพเจ้าที่ดูแลเรื่องน้ำ และพระพุทธรูปต่างๆ ประดิษฐานอยู่ คุณสามารถเดินเล่นทำสมาธิและขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ตามอัธยาศัยครับ

เรื่องเกี่ยวกับ “ตั่วเหล่าเอี๊ยฮียงบู่ซัว” ที่หลายคนอาจไม่รู้

“ตั่วเหล่าเอี๊ย เฮียงบู่ซัว (玄武山) : เจ้าพ่อเสือ” เป็นหนึ่งในเทพเจ้าจีนที่มีตำนานความเป็นมาหลายเว่อร์ชั่นสุดๆ ไม่ว่าจะเป็น…

  • เดิมมีชื่อว่า เสวียนอู่ เป็นเจ้าชายเมืองจิงหลี่ ทางตอนเหนือของเหอเป่ย สมัยจักรพรรดิเหลือง เมื่อเติบโตขึ้นพบเห็นความทุกข์ยากของราษฎรจึงคิดอยากไปบำเพ็ญเพียร ปฏิบัติธรรม
  • บางตำนานบอกว่าท่านเป็นนักพรตบำเบ็ญเพียร บนเขาบู๊ตงซาน (บู้ตึ้ง) จนสำเร็จเป็นเซียน
  • บางตำราบอกว่าท่านเป็นภาคหนึ่งของไท่ซ่งเหลากุ้น เป็นตัวแทนดาวเหนือ เต่าและงูที่ท่านเหยียบนั้นเดิมเป็นปีศาจทำร้ายมนุษย์และท่านได้ปราบสัตว์ทั้งสองจนนำมาเป็นบริวาณของท่านเอง
  • อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า ชายหนุ่มจากเมืองลกฮง ประเทศจีน มีอาชีพฆ่าหมูและวัวขาย วันหนึ่งกลับใจหันมาปฏิบัติธรรมตามลัทธิเต๋า โดยยินดีสละชีวิตตนเอง คว้านท้องเอากระเพาะและลำไส้ออกมาเพราะต้องการเอาชีวิตตนแลกธรรมเพื่อทดแทนบาปเคราะห์

แต่สิ่งนึงที่ทุกตำนานมีร่วมกันคือ “ตั่วเหล่าเอี๊ยฮียงบู่ซัว” เป็นเทพเจ้าที่ผู้คนกราบไหว้กันมานานนับพันปี มีรูปลักษณ์เป็นขุนพลเคราดำยาว เท้าเหยียบนหลังงูและเต่า มือขวาถือดาบ มือซ้ายชี้นิ้วไปยังท้องฟ้า (อาจมีรูปลักษณ์แตกต่างกันไปตามภูมิภาคและความเชื่อ)

อีกหนึ่งเวอร์ชั่นของศาลเจ้าตั่วเหล่าเอี๊ย กลางทะเลสาบ ที่เมืองเกาสง (Koahsiung) ไต้หวัน

นอกจากนี้ไกด์เล่าให้เราฟังว่า “จริงๆ องค์ตั่วเหล่าเอี๊ยไม่ได้มีรูปร่างหรือมีพาหนะเป็นเสือ” แต่ที่คนไทยนิยมเรียกกันติดปากว่า “ศาลเจ้าพ่อเสือ” เนื่องจากสมัยรัชกาลที่ 5 มีศาลอยู่บริเวณนั้น แล้วมีคนจะไปรื้อถอนศาลเจ้าแล้วถูกเสือคาบไปกิน ชาวบ้านเลยเชื่อว่าเสือตัวนั้นเป็นบริวารของเจ้าพ่อ ทำให้เรียกติดปากกันว่า “ศาลเจ้าพ่อเสือ” ตามๆ กันมา 55555 ฟังที่เรื่องราวเวอร์ชั่นนี้แล้วก็สนุกดี เอาเป็นว่าจากนี้ไปขอให้เข้าใจว่า “เจ้าพ่อเสือ = องค์ตั่วเหล่าเอี๊ย” นะครับ ทุกคน!!

ข้อมูลเพิ่มเติม

ศาลเจ้า “ตั่วเหล่าเอี๊ย เฮี่ยงบู่ซัว” ตั้งอยู่ที่อำเภอเหล็กฮง จังหวัดซัวบ้วย ใช้ระยะเวลาเดินทางจากซัวเถา (Shantou) ด้วยรถยนต์ประมาณ 2-3 ชั่วโมง
ข้อมูลจาก : https://thai.cri.cn
พิกัด : https://j.map.baidu.com/8b/7qM

4. ศาลเจ้าไต่ฮงกง : ปอเต็กตึ๊ง (大峰公)

ศาลเจ้าที่ประดิษฐานรูปจำลองของหลวงปู่ไต่ฮงกง บริเวณนี้เป็นสถานที่มีพลังแห่งความสมดุล ฮวงจุ้ยดี มีด้านหลังเป็นภูเขา มีด้านหน้าเป็นบ่อน้ำ และที่เนินเขาหลังศาลเจ้าแห่งนี้ ยังเป็นที่ตั้งสุสานของท่านด้วย!!

ความสำคัญของศาลเจ้า “ไต่ฮงกง (ปอเต็กตึ๊ง)”

การได้มาไหว้ท่าน “ไต่ฮงกง (ปอเต็กตึ๊ง)” นั้น ให้คุณ 2 ด้าน อย่างแรกคือเพื่อทำบุญสะเดาะเคราะห์ ให้สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว ปราศจากโรคภัย ส่วนอีกทาง คือเป็นการมาเพื่อระลึกถึงคุณงามความดีของท่าน “ไต่ฮงกง (ปอเต็กตึ้ง)” พระมหาเถระสมัยราชวงศ์ซ่ง จากอดีตที่เคยเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่แต่ทนเห็นการปกครองที่ไม่เป็นธรรมไม่ได้ จึงออกบวชเพื่อช่วยเหลือผู้คน

ตำนานเล่าว่า “ไต่ฮงกง (ปอเต็กตึ๊ง)” เป็นพระผู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมและคุณธรรม ชอบช่วยเหลือผู้คนที่ลำบาก ดูแลรักษาคนเจ็บป่วย สร้างวัด โรงเรียน สะพาน ฝังศพคนไม่มีญาติ จนชาวบ้านต่างเลื่อมใสและศรัทธาปฏิบัติตามท่านเป็นแบบอย่าง จนปัจจุบันมีศาลเจ้าและมูลนิธิที่ได้แรงบันดาลใจจากท่านกว่า 200 แห่งทั่วโลก

ในประเทศไทยก็มีการจัดตั้ง มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง (แปลว่า การสนองพระคุณ) ที่เราคุ้นเคยกันดี (ตั้งอยู่แถวพลับพลาไชย) หนึ่งพิกัดที่เราคนไทยชอบไปทำบุญบริจาคโลงศพกันบ่อยๆ เวลาต้องการสะเดาะเคราะห์นั่นละครับ!!

การได้รับพลังจากธาตุดิน มั่นคง ทรงพลัง เทพเจ้าแห่งสุขภาพ คนนิยมมาขอพร “ให้สุขภาพแข็งแรง การสะเดาะเคราะห์ เสริมสิริมงคล”

เคล็ดลับการไหว้ศาลเจ้า “ไต่ฮงกง (ปอเต็กตึ๊ง)”

ให้จุดธูปไหว้ไหว้ “ธีกง” ซึ่งอยู่ด้านหน้าก่อน แล้วค่อยไปไหว้ท่านไต่ฮงกง วิธีกล่าวคำอธิษฐานนั้นไม่ซับซ้อน เพียงแค่สื่อสารกับองค์ไต่ฮงกงแบบตรงไปตรงมา (เหมือนคุยกับผู้ใหญ่) เช่น… เรากำลังจะทำอะไร ต้องการให้ท่านช่วยเรื่องไหน ถ้าท่านช่วยแล้วเราจะได้ประโยชน์อะไร ฯลฯ

จากนั้นให้ไปถวายน้ำมันตะเกียงเพื่อช่วยต่ออายุดวงชะตา แล้วถ้าสะดวก เราแนะนำให้ทำบุญช่วยศพไม่มีญาติ ที่ศาลเล็กๆ ด้านซ้ายมือของท่านไต่ฮงกง

ที่เนินเขาด้านหลังศาลไต่ฮงกง เป็นที่ตั้งหลุมฝังศพของท่านครับ อย่าลืมมาสักการะหลุมศพท่านด้วยนะ

หลังจากไหว้ “ไต่ฮงกง (ปอเต็กตึ๊ง)” เสร็จแล้ว เรายังสามารถเดินเล่นที่สวนสาธารณะรอบๆ ทะเลสาบ ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามตัวศาลเจ้าได้ด้วย มีทั้งสะพานหิน เก๋งจีน รวมถึงวิวสวยๆ ให้คุณนั่งชิลล์ยามเย็น และถ้าอยากสนุกกว่านั้น… ด้านข้างศาลเจ้ามีสวนสนุกขนาดย่อม ให้คุณได้เพิ่มอรรถรสให้การไหว้เจ้ารอบนี้ด้วยนะ!!

ข้อมูลเพิ่มเติม

ศาลเจ้า “ไต่ฮงกง (ปอเต็กตึ๊ง)” ตั้งอยู่ที่ตำบลหั่วเพ้ง เขตเตี่ยเอี๊ย จังหวัดซัวเถา
พิกัด : https://j.map.baidu.com/06/w3c

5. Shantou’s Old town (汕头市小公园)

Shantou’s Old town (汕头市小公园) หรือเสี่ยวกงหยวน ต้นแบบของถนนเยาวราชเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาด ที่นี่เป็นศูนย์กลางการค้าเก่าแก่ของเมืองซัวเถา (Shantou) ล้อมรอบไปด้วยอาคารตึกโบราณที่สร้างในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ที่ได้รับการรีโนเวทให้สวยงาม ดูแลเป็นอย่างดีให้มีบรรยากาศย้อนยุค และมีการปรับปรุงถนนคนเดินใหม่ให้สะอาดเป็นระเบียบ

แนะนำให้มาเดินเล่นเที่ยวชมเมืองเก่าซัวเถา Shantou’s Old town ช่วงเย็นๆ จะมีการเปิดไฟสวยงามกว่าตอนกลางวัน ตรงกลางของถนนคนเดินจะมีศาลาอนุสรณ์สถานจงซาน Zhongshan Memorial Pavilion (中山纪念亭) สองข้างทางจะเต็มไปด้วยร้านค้าขายอาหาร ขนม ของที่ระลึก เครื่องดื่ม มองไปทางไหนก็มีแต่ของน่าทาน บรรยากาศดีมาก มีชีวิตชีวา ถ่ายรูปออกมาสวยครับ

บริเวณ Shantou’s Old town (汕头市小公园) จะขายอาหาร Street food สไตล์เยาวราชเลยครับ สำหรับราคาก็น่ารักสบายกระเป๋า แต่ละร้านทำสดใหม่ ชามต่อชาม รสชาติอร่อยถูกปากคนไทย

  • เกาเหลาลูกชิ้น (ถ้วยละ 20 CNY) : ลูกชิ้นเนื้อแน่นไม่ผสมแป้ง ซดน้ำซุปร้อนๆ แล้วชื่นใจ อร่อยมากๆ
  • น้ำปั่นผลไม้ (แก้วละ 15-20 CNY) : ทางร้านจะให้เลือกชนิดผลไม้ 2-3 ชนิดแล้วคั้นกันสดๆ ได้วิตามินกันแบบเต็มๆ

การซื้อของตามร้านค้าที่จีน

แนะนำให้โหลด App ชื่อว่า Alipay (อาลีเพย์ : 支付宝) หน้าตา QR Code สีฟ้า คนจีนไม่ได้เรียกอาลีเพย์ แต่เรียกว่า “จือฝูเป่า” พอโหลด App แล้วให้ผูกกับบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต Travel card มาจากไทย พอถึงจีนสามารถใช้สแกน QR Code ปุ๊บ จ่ายปั๊บ ชำระเงินสะดวกมาก และมีระบบความปลอดภัยที่ดี ทุกครั้งที่มีการชำระเงินจะให้กรอกเลขบัตร CVC 3 ตัวท้าย แต่ยังไง “เงินสด” ก็ยังต้องพกมาด้วย เพราะบางครั้งโอนเงินผ่าน Alipay ไม่ได้ หรือบางที่รับแต่ WeChat ก็มีนะ

ข้อมูลเพิ่มเติม

พิกัด : https://j.map.baidu.com/d7/Ssh

วันที่ 3 :  เมืองแต้จิ๋ว – Xiangzi Bridge (สะพานเซียงจื่อ) – Guang Ji Men Cheng Lou (หอประตูเมืองกว่างจี้)ทานอาหารแต้จิ๋วถิ่นกำเนิดอาหารเยาวราชวัดไคหยวนแชเล้งเอีย (ศาลเทพมังกรเขียว)

เช้าวันนี้เราเดินทางมาเที่ยวเมืองแต้จิ๋ว หรือเฉาโจว (潮州) ใช้เวลาเดินทางจากเมืองซัวเถาประมาณ 1 ชม. เมืองแต้จิ๋วตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของมณฑลกวางตุ้ง บริเวณทางตอนเหนือของสามเหลี่ยมปากแม่น้ำหานเจียง (韩江三角洲) ห่างจากเมืองซัวเถา หรือซ่านโถว (汕头) ประมาณ 40 กิโลเมตร

ความสำคัญของเมืองแต้จิ๋ว หรือเฉาโจว (潮州)

เมืองแต้จิ๋ว หรือเฉาโจว (潮州)เป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีประวัติศาสตร์และอารยธรรมอันยาวนานกว่า 2,000 ปีของประเทศจีน เป็นต้นกำเนิดของวัฒนธรรมจีนแต้จิ๋ว เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีการอนุรักษ์ย่านเมืองเก่าในแต้จิ๋วอย่างดีทั้งกำแพงเมืองเก่า สะพานโบราณ และเป็นหนึ่งในเมืองสำคัญของเส้นทางสายไหมทางทะเล

6. สะพานเซียงจื่อ : สะพานวัวคู่ (广济桥)

พิกัดแรกของเมืองแต้จิ๋วที่แวะไป คือ “สะพานเซียงจื่อ หรือ สะพานวัวคู่ (Xiangzi Bridge)” ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของเมืองแต้จิ๋ว หรือเฉาโจว (Chaozhou)

สะพานเซียงจื่อ Xiangzi Bridge (สะพานวัวคู่) หรือสะพานกว่างจี้

สะพานโบราณข้ามแม่น้ำหานเจียงสร้างขึ้นในสมัยรางวงศ์ซ่งใช้เวลาสร้างยาวนานถึง 57 ปี สะพานมีความยาว 515 เมตร และกว้างประมาณ 100 เมตร ช่วงกลางสะพานจะใช้เรือ 18 ลำมาเชื่อมต่อกันเพื่อเปิด-ปิดเมื่อเรือแล่นผ่าน ถือว่าเป็นสะพานแห่งแรกของเมืองจีนที่สามารถยกเปิด-ปิดได้ แต่ละช่วงของสะพานจะมีซุ้มเก๋งจีน มีห้องเล็กๆ จัดนิทรรศการข้าวของเครื่องใช้โบราณ และมีเก้าอี้ให้ได้นั่งชมบรรยากาศ รับลมเย็นๆ

แม้ “สะพานเซียงจื่อ Xiangzi Bridge (สะพานวัวคู่) หรือสะพานกว่างจี้“) จะเป็นที่ท่องเที่ยวที่แม้นักท่องเที่ยวจะเยอะจะถ่ายรูปก็ต้องคอยหลบคน แต่บรรยากาศบนสะพานโบราณก็เป็นอะไรที่แปลกตา ยิ่งพอได้รู้เกร็ดประวัติศาสตร์ก็ยิ่งทำให้การเดินเที่ยวยิ่งสนุกขึ้นไปอีก

ข้อมูลเพิ่มเติม

พิกัด : https://j.map.baidu.com/76/Hbo

7. Guang Ji Men Cheng Lou (济门城楼) : หอประตูเมืองกว่างจี้

หอประตูเมืองกว่างจี้ หอหานเจียง (韩江楼) หรือหอประตูตะวันออก (东门楼) เป็นสถานที่ไฮไลต์ของเมืองแต้จิ๋ว หรือเฉาโจว (Chaozhou) สร้างขึ้นในสมัยของราชวงศ์หมิงมีประวัติศาสตร์มายาวนานกว่า 600 ปี หอนี้ตั้งอยู่บริเวณตรงข้ามกับสะพานโบราณเซียงจื่อ (สะพานวัวคู่)  เป็นหอประตูเมืองที่ยิ่งใหญ่สุดจากทั้งหมด 7 แห่งในเมืองโบราณแต้จิ๋ว ถือว่าเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของเมืองแต้จิ๋วที่ได้รับการบูรณะสร้างขึ้นมาใหม่จากเศษซากที่เหลือบางส่วนในช่วงปี ค.ศ.1931

พอเดินออกจากหอประตูเมืองกว่างจี้ (Guang Ji Men Cheng Lou) จะเป็นเมืองโบราณแต้จิ๋วหรือเฉาโจว (Chaozhou)  ร้านค้าที่อยู่สองข้างทางจะมีขายอาหาร เครื่องดื่ม น้ำผลไม้ ของที่ระลึก ของฝาก งานสาน งานไม้ไผ่ แต่อยากแนะนำให้มาลองกินสตรีทฟู้ดที่นี่ มีร้านเยอะมาก ของฝากที่คนนิยมซื้อจากเมืองแต้จิ๋วหรือเฉาโจว (Chaozhou)  คือ “ส้มโอมือ” เรียกภาษาแต้จิ๋วว่า “หุกฉิ้วเหล่าเฮียงอึ้ง” ส้มโอมือมีกลิ่นหอม เค็มนิด เปรี้ยวหน่อยเหมือนยาอมจีน จะทานตอนไอ เจ็บคอ เป็นไข้ หรือชงน้ำอุ่นดื่ม หรือจะทานสดเป็นชิ้นเล็กๆ

ข้อมูลเพิ่มเติม

เวลาทำการ : เปิดตลอด 24 ชม.
ค่าเข้าชม : เข้าชมฟรี
การเดินทาง : สามารถนั่งรถแท็กซี่จากสถานีรถไฟเฉาโจว (潮州站) ประมาณ 9 กิโลเมตร
พิกัด : https://j.map.baidu.com/5d/gzWg

8. ทานอาหารแต้จิ๋ว ถิ่นกำเนิดสรรพรสแห่งเยาวราช

มาถึงเมืองโบราณเมืองแต้จิ๋ว หรือเฉาโจว (Chaozhou) แล้ว ก็ต้องมาลองอาหารแต้จิ๋วต้นตำหรับของถนนเยาวราชกันครับ เรามาทานที่ร้าน 老柯特色小食 ตัวร้านจะเป็นตึกแถวห้องเดียว แต่อาหารแต่ละเมนูถือว่าเด็ดมาก อร่อยแบบตะโกน

เท่าที่เราทานรู้สึกว่า อาหารแต้จิ๋วจะเน้นรสกลมกล่อม ปรุงรสไม่จัด เน้นความอร่อยของวัตถุดิบ ในฐานะลูกหลานคนจีนแต้จิ๋วชิมแล้วต้องบอกว่า “หอเจี๊ยะๆ” เช่น โจ๊กหอยนางรมแน่นๆ (เมนูนี้เด็ดจริง ทุกคำมีแต่หอยนางรม) ซุปลูกชิ้นเนื้อ เผือกทอด วุ้นเส้นผัดเห็ดหอมใส่ไข่และผัก ต้มกระเพาะหมูเกี่ยมฉ่าย ออส่วนหอยนางรมจะเน้นหอยนางรมแน่นๆ แป้งบางกรอบซึ่งที่ไทยจะเน้นแบบแป้งนิ่มมากกว่า

ข้อมูลเพิ่มเติม

พิกัด : https://j.map.baidu.com/5d/iPA

9. วัดไคหยวน : KAIYUAN TEMPLE (开元寺)

หลังจากทานอาหารอิ่มแล้วเดินมาประมาณ 3-4 นาทีก็มาถึง “วัดไคหยวน (KAIYUAN TEMPLE)

ความสำคัญของ “วัดไคหยวน (KAIYUAN TEMPLE)

วัดใหญ่ที่สุดของเมืองแต้จิ๋ว สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง ช่วงจักรพรรดิ์ถังสวนจง (ราว ค.ศ. 738) ไฮไลต์ของวัดคือมี “องค์เจ้าแม่กวนอิมพันมือ (ทำจากหยกขาว) ถือเม็ดไข่มุกอยู่ในมือ ประทับบน ปลาหลีฮื้อ ปลาสิงโตและปลามังกร” ซึ่งประทับอยู่ภายในศาลเจ้า เจ้าแม่กวนอิมพันมือองค์นี้เลื่องชื่อว่า “ขอปุ๊บได้ปั๊บ” ไม่แพ้เทพทันใจ ใครอยากได้ลูก อยากปลดหนี้ อยากรวยเร็ว ให้มาสักการะท่าน จะได้สมหวังทันใจ

นอกจากองค์เจ้าแม่กวนอิมพันมือแล้ว ภายในวิหารยังมีพระปฏิมาประธาน 3 องค์ (พระศากยมุนี พระไภษัชยคุรุ และพระอมิตาภะ) ส่วนบริเวณผนังวิหารทั้งสองด้านจะมีพระอรหันต์อีกข้างละ 9 องค์ รวมเป็น 18 องค์ด้วยกัน เรื่องความศักสิทธิ์นั้นมีแน่นอน แต่ที่น่าประทับใจไม่แพ้กันคือความงดงามของสถาปัตยกรรมตั้งแต่เมื่อพันกว่าปีก่อน ที่มีทั้งศิลปะยุคราชวงศ์ถัง ราชวงศ์ซ่ง และราชวงศ์หยวน การมาสักการะวัดไคหยวนจึงได้ทั้งบุญ และได้ยลสถาปัตยกรรมจีนยุคโบราณไปพร้อมๆ กัน

การได้รับพลังจากธาตุทอง มั่งคั่งร่ำรวยรับปีมังกร มุ่งหวังสิ่งใดจะสมหวังทุกรายไป

เคล็ดลับการไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่ “วัดไคหยวน (KAIYUAN TEMPLE)”

เริ่มจากการไหว้ฟ้าดินคำนับ 3 ครั้ง (ครั้งที่ 1 คำนับฟ้าดิน ครั้งที่ 2 คำนับธูปหอมและกำยาน ครั้งที่ 3 คำนับเจ้าแม่กวนอิม) จากนั้นไหว้รวม 4 ทิศแล้ว และสวดมนต์บทเจ้าแม่กวนอิม นะโม ไต่ซื้อไต่ปุย กิวโค่ว กิวหลั่ง ก๋วงไต๋ เล่งก้ำ กวงซีอิมฟู่สัก (ท่อง 3 จบ) ตามด้วย นำโมฮุก นำโมหวบ นำโมเจ็ง นำโมกิวโคว่ กิวหลั่ง กวงสี่อิมผู่สัก ทั่งจี้โต โอม เกียล้อฮวดโต เกียล้อฮวดโต เกียออฮวดโต ล้อเกียฮวดโต ล้อเกียฮวดโต ซาผ่อออ เทียงล้อซิ้ง ตี่ล้อซิ้ง นั้งลี่หลั่ง หลั่งลี่ซิ้ง เจ็กเฉียก ใจ เอียงห่วยอุ่ยติ้ง นำโมม่อออปวกเยี่ยปอล้อบิ๊ก

จากนั้นตั้งจิตอธิษฐานขอพร ปิดท้ายด้วยการสวด “โอมมณี ปะเมหุง” รวม 3 ครั้ง จากนั้นให้ขอพรกับองค์เจ้าแม่กวนอิม

วิธีกล่าวคำอธิษฐานนั้นไม่ซับซ้อน เพียงแค่สื่อสารกับองค์ตั่วเหล่าเอี๊ยแบบตรงไปตรงมา (เหมือนคุยกับผู้ใหญ่) เช่น… เรากำลังจะทำอะไร ต้องการให้ท่านช่วยเรื่องไหน ถ้าท่านช่วยแล้วเราจะได้ประโยชน์อะไร ฯลฯ

ว่ากันว่าบริเวณ “ทีกง” ของวัดนี้เป็นจุดที่ฟ้าเดินเชื่อมพลังประสานกัน ซึ่งถือเป็นฮวงจุ้ยที่ดีที่สุดในการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ข้อมูลเพิ่มเติม

วัดไคหยวน (KAIYUAN TEMPLE) ตั้งอยู่ในโซนเมืองโบราณแต้จิ๋ว เปิดให้เข้าสักการะได้ตลอด 24 ชั่วโมง
พิกัด : https://j.map.baidu.com/cd/shi

10. แชเล้งเอีย : ศาลเทพมังกรเขียว (青龙古庙)

แชเล้งเอีย (ศาลเทพมังกรเขียว) หรือ QINGLONG TEMPLE เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่บันดาลความอุดมสมบูรณ์ ความเจริญก้าวหน้า โอกาสด้านการงาน การแข่งขัน ที่ชาวจีนแต้จิ๋วเลื่อมใสมาช้านาน ว่ากันว่า “ลี กา ซิง” อภิมหาเศรษฐีชาวฮ่องกง ต้องบินมาสักการะศาลเจ้าแห่งนี้เป็นประจำทุกปี!!

ความสำคัญของแชเล้งเอีย (ศาลเทพมังกรเขียว)

คนจีนโบราณเชื่อว่า “เทพมังกรเขียว” เป็นเทพารักษ์ที่คุ้มครองแหล่งน้ำ ทั้งบ่อน้ำ คลอง แม่น้ำ ทะเลสาบ ไปจนถึงมหาสมุทร เพื่อนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ ช่วยให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล นอกจากนี้ยังเป็นเทพที่คุ้มครองดวงชะตาของคนทุกราศี

การได้มาสักการะ “แชเล้งเอีย (เทพมังกรเขียว)” นั้นเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มพลังงานดีๆ ให้กับชีวิต ทั้งความเจริญก้าวหน้า บารมี โอกาสด้านการงาน การสอบ การแข่งขัน หรือการเลื่อนตำแหน่ง ดังนั้นเหล่านักเรียน ข้าราชการ หรือพนักงานบริษัท ที่อยากได้ความก้าวหน้าในชีวิต จึงนิยมมาสักการะขอพร “แชเล้งเอีย (เทพมังกรเขียว)” ณ ศาลเจ้าแห่งนี้

การได้รับพลังของความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง ร่ำรวย ความโชคดี บารมี โดดเด่นเรื่องการค้าขายที่รุ่งเรือง ราบรื่น และครอบครัวที่ร่มเย็นเป็นสุข

งานประติมากรรมรูปเทพเจ้า บนหลังคาของศาลเจ้าแห่งนี้ สวยงาม วิจิตร และเต็มไปด้วยรายละเอียด

เคล็ดลับการไหว้แชเล้งเอีย (ศาลเทพมังกรเขียว)

ให้เตรียมน้ำ ส้ม ไข่ต้ม เป็นจำนวนเลขคู่ที่ 4 หารลงตัว เช่น 4, 8, 12, 16, 20 และใช้ธูป 3 ดอก แทนการไหว้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรือ 5 ดอก แทนธาตุทั้ง 5 จากนั้นเริ่มด้วยการไหว้ฟ้าดินคำนับ 3 ครั้ง (ครั้งที่ 1 คำนับฟ้าดิน ครั้งที่ 2 คำนับธูปหอมและกำยาน ครั้งที่ 3 คำนับเทพมังกรเขียว) จากนั้นให้ไหว้ด้วยชุดกระดาษเงิน-กระดาษทอง

หลังไว้เสร็จให้ทำการเผากระดาษเงิน-กระดาษทอง แล้วลาของไหว้กลับไปทานเพื่อความเป็นสิริมงคล

ข้อมูลเพิ่มเติม

ศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่ตั้งริมแม่น้ำหั่งกัง หน้าเมืองแต้จิ๋ว
พิกัด : https://j.map.baidu.com/a5/vuaJ

11. Zhanglin Gugang (樟林古港遺址) : จุดลงเรือสำเภาจีน

ในอดีตบริเวณนี้เป็นหมู่บ้านชาวประมงริมทะเล และเป็นท่าเรือโบราณขนาดใหญ่อันดับ 1 ทางตะวันออกของมณฑลกวางตุ้ง ปัจจุบันมีพวกดินทรายถมขึ้นมาจึงทำให้จุดลงเรือสำเภาไม่ได้อยู่ปากอ่าวเหมือนเดิม บริเวณนี้คือจุดประวัติศาสตร์ที่บรรดาเหล่าบรรพบุรุษชาวจีนแต้จิ๋วมาลงเรือสำเภาเพื่อหนีตายจากความยากจน และความแห้งแล้งเพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีกว่า

การล่องเรือสำเภาจากซัวเถามาลงท่าเรือในประเทศไทยจะใช้เวลาอย่างต่ำ 1 เดือน ส่วนใหญ่จะมาลงที่ท่าเรือราชวงศ์ กทม., ท่าเรือ จ.จันทบุรี, ท่าเรือเกาะสีชัง, ท่าเรือเบตง หรือไปลงที่ประเทศมาเลเซีย และ สิงคโปร์เลย  จากหลักฐานคนจีนแต้จิ๋วกว่าสองล้านคนเข้ามาในไทยยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ปี พ.ศ. 2488-2492) จึงทำให้คนจีนแต้จิ๋วมีจำนวนมากที่สุดในประเทศไทย

เรื่องเกี่ยวกับ “คนจีนจากซัวเถาลงเรือสำเภาอพยพมาประเทศไทย” ที่หลายคนอาจไม่รู้

ไกด์เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนคนจีนต้องหลบหนีขึ้นเรือสำเภาสินค้า โดยก่อนออกเรือก็จะต้องมาไหว้ขอพรจากองค์เจ้าแม่ทับทิมเพื่อให้เดินทางถึงจุดหมายปลายทางปลอดภัย รอดพ้นจากคลื่นลมพายุในทะเล และจะเตรียมตะกร้าใส่ของสำคัญๆ 3 อย่าง คือ

  1. ขนมเข่งก้อนใหญ่ : ใช้เป็นอาหารเพื่อประทังความหิว ตัวขนมเข่งเป็นแป้งจะเก็บไว้ได้นานเป็นเดือน ไม่บูดไม่เสียง่าย
  2. ฟักเขียว : ด้วยคุณสมบัติของฟักเขียวจะมีน้ำเยอะ ช่วยดับกระหายน้ำ มีฤทธิ์เย็น เวลาหิวน้ำก็จะตัดเป็นแว่นๆ แบ่งกันทาน โดยจะทานให้หมดเป็นลูกๆ ฟักจะได้ไม่เน่าไม่เสีย
  3. ยาเม็ดเพี่ยนจือหวัง (เพี้ยงเกียอึ้ง) : เพี่ยนจือหวังเป็นยาสมุนไพรจีนแผนโบราณขนานเอกของจีนตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์หมิน ยาแก้อักเสบที่ลูกหลานจีนต่างรู้จักกันดี ด้วยยามีราคาสูง คนจีนจึงต้องเก็บรักษาไว้อย่างดี โดยจะเย็บยาติดกับเสื้อไว้เพื่อใช้ทานเวลาเจ็บป่วยอยู่บนเรือ รักษาอาการปวดจากการอักเสบ เช่น ปวด เคล็ดยอก เหงือกฟันอักเสบ คออักเสบ กรณีทีไม่ได้ใช้ยาเพี่ยนจือหวัง คนจีนก็จะนำยาขายให้คนอื่นๆ ที่ท่าเรือเพื่อนำเงินก้อนนั้นตั้งต้นชีวิตใหม่
    (ปัจจุบันเพี่ยนจือหวังราคา 1 กล่องเล็ก ประมาณ 4,000 บาท+/- สามารถบดใส่แคปซูลเบอร์ 0 ได้ 8 แคปซูล)

หลังจากที่คนจีนสู้ชีวิตทำมาหากินตั้งตัว มีฐานะมั่นคงในประเทศไทยแล้วก็กลับไปรับครอบครัว ญาติพี่น้องที่เมืองจีนแล้วอพยพมาอยู่ที่เมืองไทยถาวร ปูเป้ก็เป็นหนึ่งครอบครัวที่มีต้นกำเนิดจากซัวเถาครับ พอได้ฟังสตอรี่ของบรรพบุรุษแล้ว เส้นทางชีวิตของแต่ละคนกว่าจะได้มาอยู่เมืองไทย หรือคนที่เป็นเจ้าสัว เศรษฐีไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ

ข้อมูลเพิ่มเติม

พิกัด :  https://j.map.baidu.com/af/UD0

12. Chao Lu Dao (潮卤道卤水火锅(汕头总店)

Chao Lu Dao อ่านว่า “เฉ่าหลู่เต้า” ร้านหม้อไฟน้ำซุปพะโล้สูตรแต้จิ๋วเป็นอีกหนึ่งเมนูที่ต้องลอง ร้าน Chao Lu Dao นี้ถือว่าเด็ดมากกก!! แรกๆ คิดว่าน้ำซุปพะโล้ต้องเค็มนำ แต่พอชิมแล้วเป็นน้ำซุปพะโล้ที่อร่อยมากกกกก!! หอมกลิ่นเครื่องเทศเบาๆ รสเข้มข้น กลมกล่อมดี ไม่เค็มแบบพะโล้ของไทยเลย อร่อยประทับใจทั้งน้ำซุปและวัตถุดิบสดให้ 10/10 เลยครับ

เมนูที่ร้าน Chao Lu Dao เป็นแบบ A la carte น้ำซุปจะมีให้เลือก 2 แบบ เราสามารถสั่งวัตถุดิบต่างๆ ลงมาจุ่มลวกในหม้อได้เลย เช่น เนื้อเป็ด ตับเป็ด ไส้แก้ว เครื่องในเป็ด กุ้งเสียบไม้ หอยเชลล์ เกี๊ยว บะหมี่ ลูกชิ้น ไก่ หอยนางรม

เมนูที่อร่อยประทับใจขอยกให้ “ตับเป็ด” หั่นมาชิ้นหนากำลังดี ทางร้านแนะนำให้ลวก 10 นาทียิ่งทำให้เนื้อตับหวานนุ่ม เนียนกำลังดี แบบฟรัวกราส์เลย อร่อยเต็มๆ คำ

ข้อมูลเพิ่มเติม

พิกัด :  https://j.map.baidu.com/e9/moKJ

13. ห้างสรรพสินค้าหรู The Mixc (汕头万象城)

ห้างสรรพสินค้าตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจ Jinhuan S Road มีขนาดใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดในซัวเถา (Shantou) มีครบทุกอย่างฟีลเหมือนเดินห้างฯ หรูพรีเมี่ยม ภายในตกแต่งมีความลักชู เพดานสูงโอ่โถง ออกแบบได้สวยงาม มีการใช้เส้นสายเป็นลวดลายแบบเรียบหรูดูดี

ภายในห้างสรรพสินค้า The Mixc (汕头万象城) มีร้านค้าทั้งช้อป Inter brand และ local brand ครบทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า นาฬิกาแบรนด์หรู ขนม ของฝาก เครื่องประดับ และอื่นๆ

  • เครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์มีทั้ง Lancome, Dior, Chanel, Clarins ฯลฯ
  • โชว์รูมรถยนต์ EV Tesla
  • อุปกรณ์โดรน และ Gadget ของ DJI และ Mi
  • ร้านอาหาร ร้านกาแฟ % Arabica แบบ Stand alone
  • ร้านชา Hey Tea และ Chagee ช่วงดึกวัยรุ่นมานั่งกันเต็มหน้าร้าน บรรยากาศดูครึกครื้นมากๆ 

ข้อมูลเพิ่มเติม

พิกัด :  https://j.map.baidu.com/7a/z7x

วันที่ 4 :  บ้านดินถู่โหลว NanJing Tulou บ้านดินถู่โหลว Yuchang Buildingซัวเถา

วันนี้ไปบ้านมู่หลานที่เราเคยเห็นในหนังกัน “ถู่โหลวแห่งฝูเจี้ยน หรือ บ้านดินแห่งฝูเจี้ยน (Fujian Tulou) บ้านดินถู่โหลวมีอยู่กระจัดกระจายทั้งหมดกว่า 30,000 หลังมีรูปทรงกลม, ทรงสี่เหลี่ยม, ทรงห้าเหลี่ยมและทรงแปดเหลี่ยม ในเมืองหย่งติ้ง (Yongding), เมืองหนานจิ้ง (Nanjing) และเมืองหวาอัน (Hua an) ในมณฑลฝูเจี้ยน (Fujian) อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน

เราเดินทางจากซัวเถาไปมณฑลฝูเจี้ยนใช้เวลาประมาณ 2.30 ชม. ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน ทิศตะวันออกเป็นเกาะไต้หวันติดช่องแคบไต้หวัน ภูมิประเทศของมณฑลฝูเจี้ยนเป็นภูเขา 80% มีเกาะน้อยใหญ่รวม 1,546 เกาะ มีน้ำทะเลขนาด 136,300 ตร.กม. ถือว่ามีชายฝั่งทะเลยาวเป็นอันดับ 2 ของประเทศจีน

14. NanJing Tulou (田螺坑土楼群) บ้านดินถู่โหลวมรดกโลกแห่งฝูเจี้ยน

ในที่สุดก็ได้มาเห็น “บ้านดินถู่โหลว” เมืองหนานจิ้ง บ้านมู่หลานที่ได้ดูในหนังจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับ AAAA ของจีน นี่คือ ภูมิปัญญาการสร้างบ้านของชาวจีนแคะแห่งมณฑลฝูเจี้ยน บ้านดินถู่โหลวนั้นมีรูปทรงเลขาคณิตทั้งทรงกลม วงรีและสี่เหลี่ยม ตัวตึกของบ้านดินสูง 3-4 ชั้น ลักษณะเหมือนป้อมปราการ มีช่องหน้าต่างมากมาย เพื่อให้เห็นทิวทัศน์โดยรอบ และสามารถมองเห็นบุคคลภายนอกที่จะมารุกราน

บ้านดินถู่โหลวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกมีทั้งสิ้น 46 หลังในอำเภอหย่งติ้ง คือ บ้านดินชูซี (初溪) บ้านดินหงเคิง (洪坑) บ้านดินเกาเป่ย (高北) บ้านดินฟู่ซิน (馥馨楼) ที่มีอายุเก่าแก่มากกว่า 1,200 ปีถือว่าเป็นบ้านดินที่เก่าแก่สุดในบรรดาของบ้านดินทั้งหมดในฝูเจี้ยน ไฮไลท์ของหนานจิ้งถู่โหลว (南靖土楼) คือ กลุ่มบ้านดินเถียนโหลวเคิง (Tianloukeng Tulou Cluster, 田螺坑土楼群) หรือที่รู้จักกันว่า “four dishes and one soup” และหมู่บ้านหยุนสุ่ยเหยา (Yunshuiyao Ancient Village)

โครงสร้างของบ้านดินถู่โหลวถูกออกแบบสไตล์แนวคิด “ปิดด้านนอก เปิดด้านใน”  โครงสร้างภายในมีห้องพัก 200-400 ห้องมากมายอยู่กันแบบครอบครัวขนาดใหญ่ มีครอบครัวจากหลายหมู่บ้านมารวมอยู่ด้วยกันที่เดียว สร้างด้วยไม้ ผนังพอกด้วยดินเหนียวและปูนกั้นเป็นช่วงๆ เพื่อป้องกันไฟไหม้ ตรงกลางเป็นลานโล่งใช้เป็นที่ทำกิจกรรมภายในครอบครัว และด้วยโครงสร้างพิเศษนี้ทำให้ตัวอาคารมีความแข็งแรงคงทน นอกจากกันคนเข้ามารุกรานแล้ว ยังสามารถป้องกันลมพายุฝน แผ่นดินไหว ความชื้น ทำให้อบอุ่นในหน้าหนาวและเย็นสบายในหน้าร้อน เป็นอีกหนึ่งมรดกโลกของจีนที่ถ่ายรูปสวยมากกกกกก!!

ครั้งนึงอเมริกาเคยบินมาสอดแนมทางอากาศ พอเห็นรูปลักษณ์ของ “บ้านดินถู่โหลว” ก็นึกว่าจีนกำลังแอบซ่อนเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์เอาไว้!! ผ่านมาหลายสิบปี เพิ่งจะรู้ว่าแท้จริงแล้วมันคือบ้านคน 5555

ข้อมูลเพิ่มเติม

ค่าเข้า :  100 CNY จากนั้นนั่งรถบัสของอุทยานไปภูเขาเขาด้านบน
ข้อควรระวัง : การนั่งรถขึ้นเขาค่อนข้างคดเคี้ยว อาจทำให้คนเมารถง่าย มึนศีรษะ คลื่นไส้
พิกัด : https://j.map.baidu.com/9c/TgP

15. Yuchang Building (裕昌楼)

บ้านดินถู่โหลว Yuchang Building (裕昌楼) เป็นอีกหนึ่งบ้านดินทรงกลมที่สร้างมากว่า 700 ปี ถือว่าเป็นบ้านดินที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลฝูเจี้ยน มีความยิ่งใหญ่อลังการกว่าบ้านดิน NanJing Tulou (田螺坑土楼群) และยังรอดพ้นจากแผ่นดินไหวหลายครั้ง ถือว่าเป็นภูมิปัญญาคนจีนโบราณในการสร้างที่อยู่อาศัยโบราณได้ดีมาก

บ้านดินถู่โหลว Yuchang Building (裕昌楼) จะมี 5 ชั้น มีบันได 5 แห่ง แต่ละชั้น 54 ห้อง รวม 270 ห้อง ด้านบนสุดของบ้านดินจะแขวนโคมไฟสีแดง ภายในบ้านดินมีผู้คนอยู่อาศัยจริงทำให้เราได้เห็นวิถีชีวิตทำมาหากินของผู้คน เช่น เปิดร้านขายของที่ระลึก เสื้อผ้า ไอศกรีมแท่ง ขนม รับถ่ายรูป ซึ่งจะชมได้เฉพาะชั้นล่าง ส่วนชั้นบนจะไม่ให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปครับ

มุมไฮไลต์ของบ้านดิน Yuchang Building (裕昌楼) จะมี 2 มุม คือ มุมประตูทางเข้าบ้านดินมีลำธารไหลผ่าน มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมุมตรงกลางด้านในของบ้านดิน มุมนี้จะเห็นความยิ่งใหญ่อลังการของสถาปัตยกรรมบ้านดินที่ออกแบบเป็นทรงโค้งวงกลม

ข้อมูลเพิ่มเติม

การเดินทาง : นั่งรถบัสของอุทยานจากบ้านดินถู่โหลว : NanJing Tulou (田螺坑土楼群) ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
พิกัด : https://j.map.baidu.com/4a/PEf

วันที่ 5 :  วัดแปะฮวยเจียม (วัดดอกไม้ขาว) – ทานก๋วยเตี๋ยวย่านเมืองเก่าซัวเถา – กลับกรุงเทพฯ

16. วัดแปะฮวยเจียม : วัดดอกไม้ขาว (白花尖大庙)

เช้าวันสุดท้ายที่เมือง “ซัวเถา (Shantou)” เราแวะมาไหว้เจ้าที่สุดท้ายที่ “วัดแปะฮวยเจียม (วัดดอกไม้ขาว)” วัดที่สวยอลังการยิ่งใหญ่มาก ห่างจากตัวเมือง (และโรงแรมที่เราพัก) แค่ประมาณ 15 นาที

ความสำคัญของ “วัดแปะฮวยเจียม (วัดดอกไม้ขาว)”

วัดนี้ไม่ใช่วัดที่มีมาแต่โบราณ แต่เป็นวัดลัทธิเต๋าที่สร้างขึ้นภายหลัง (ต.ค. 2536) จุดประสงค์คือเพื่อให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว และเป็นศาสนสถานประจำมณฑลกวางตุ้ง พื้นที่วัดกว้างถึง 4,000 ตร.ม. ด้านในแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 โซน ได้แก่โซนวัดพุทธ และโซนศาลเจ้าลัทธิเต๋า

ตัวศาลเจ้าลัทธิเต๋านั้นคับคั่งไปด้วยเหล่าเทพเจ้าจีนหลายองค์ ทั้ง อี้หวางฮ่องเต้ เง็กเซียนฮ่องเต้ องค์เจ้าแม่ทับทิม องค์เต่าบ้อ รวมถึงเทพเจ้าเห้งเจีย ที่หลายคนเชื่อว่าการสักการะเทพเจ้าเห้งเจียจะช่วยเรื่องสมองใส มีไหวพริบปฏิภาณ มีความกล้าหาญ มีอำนาจบารมี ไม่เกรงกลัวใคร

ส่วนฝั่งวัดพุทธนั้นมีไฮไลต์อยู่ที่เจดีย์พระพุทธรูปหมื่นองค์ ซึ่งเป็นเจดีย์แปดเหลี่ยม สูง 9 ชั้น ด้านในเต็มไปด้วยพระพุทธรูป รวมถึงเทพเจ้าจีนจำนวนมาก (แต่ไม่รู้ว่าถึงหมื่นองค์ไหม)

การมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ “วัดแปะฮวยเจียม (วัดดอกไม้ขาว)” นั้นต้องใช้คำว่า “มูที่เดียว ได้บุญครบทุกมิติในจักรวาล” ได้ความสะดวก แต่อาจจะไม่ได้ความเป็นออริจินัลครับผม!!

เคล็ดลับการไหว้ “วัดแปะฮวยเจียม (วัดดอกไม้ขาว)”

เริ่มจากการไหว้ฟ้าดิน 3 ครั้งก่อน ไหว้รวม 4 ทิศแล้วสักการะองค์เทพแต่ละองค์ รวมเทพประธานก็จะเป็นการรับพลังบวกดีๆ แนะนำให้ขอพรต่อ 1 องค์เทพต่อ 1 เรื่อง จะทำให้เราจำได้ว่าองค์เทพองค์ใดประทานพรให้กับเรา จะได้มาขอบคุณองค์นั้นๆ แนะนำให้อธิษฐานจิตต่อองค์เจ้าแม่กวนอิมอันศักดิ์สิทธิ์ องค์หมาโจ้ องค์เง็กเซียนฮ่องเต้จะประทานพรเรื่องธุรกิจการงาน การค้า การปกครองให้ประสบความสำเร็จ

ข้อมูลเพิ่มเติม

พิกัด :  https://j.map.baidu.com/bd/0PV

17. ทานก๋วยเตี๋ยวร้านดัง 愛西乾麪(小公園總店)

ก่อนกลับเราแวะมาเดินเล่นที่ Shantou’s Old town(汕头市小公园) ย่านการค้าเก่าแก่ของเมืองซัวเถา (Shantou) เลยได้มาลองก๋วยเตี๋ยวร้านเก่าแก่ของย่านเมืองโบราณซัวเถา

ร้านก๋วยเตี๋ยวดังที่เปิดมาแล้ว 75 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ.1949 ด้วยก๋วยเตี๋ยวเป็นเมนูที่เราทานกันตั้งแต่เด็กๆ พอมาเที่ยวซัวเถาก็เลยอยากมาลองต้นกำเนิดก๋วยเตี๋ยวบ้าง เราลองเส้นเล็กมีความเหนียว นุ่ม มาพร้อมเครื่องแน่นๆ ทั้งหมูชิ้น หมูยอ กระเพาะ ลูกชิ้น เต้าหู้ขาว ผัก น้ำซุปใสแบบเชงๆ ซดร้อนๆ คล่องคอมาก แนะนำทานคู่กับน้ำจิ้มพริกแล้วจะเพิ่มรสชาติเข้มข้นขึ้นครับ (ราคา 25 CNY)

ข้อมูลเพิ่มเติม

พิกัด :  https://maps.app.goo.gl/yu3Zch2ZzQH4zuu68

ที่พักแนะนำใน “ซัวเถา (Shantou)” 

ทริปนี้เราพักที่โรงแรม Holiday Inn Express Shantou City Center เมืองซัวเถา (Shantou) Holiday inn express เป็นโรงแรมในเครือ IHG Group ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ถือว่าเป็นแบรนด์ Super budget ราคาประหยัด คุ้มค่าน่าพักแต่มาครบๆ

ที่ตั้งของโรงแรมอยู่ในย่าน Longhu District จะเที่ยวในเมืองก็ง่าย ห่างจากสถานีรถไฟ Shantou Railway Station 17 กิโลเมตร หรือจะนั่งแท็กซี่ไปประมาณ 5 นาทีก็จะถึงห้างสรรพสินค้าหรู The Mixc แล้ว ข้างโรงแรมมีร้านขนมหวานขายอร่อยมาก ช่วงดึกของวันเสาร์-อาทิตย์ก็มีตลาดนัด สามารถจองโรงแรมผ่าน Booking.com ได้เลยครับ

โรงแรม Holiday Inn Express Shantou City Center ตกแต่งสวยโมเดิร์น ใช้โทนสีสดใส และใช้สีอบอุ่นโทนสว่าง ขนาดห้องพักกว้าง เตียงนอนสบาย ทำเลที่ตั้งดี มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งแผนกต้อนรับ 24 ชั่วโมง (สื่อสารง่าย เพราะพนักงานพูดภาษาอังกฤษได้) ห้องอาหาร รูมเซอร์วิส และ WiFi ในห้องพัก

ภายในห้องพักโรงแรม Holiday Inn Express Shantou City Center เมืองซัวเถา (Shantou) มีขนาดกว้างแบ่งพื้นที่ได้ดี เราพักห้องมาตรฐานเตียงแฝดสองเตียง ขนาดห้อง 26 ตร.ม. ราคาประมาณพันกว่าๆ ถือว่าคุ้มมากเลย ภายในห้องพักมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครันทั้งเครื่องปรับอากาศ เคเบิลทีวีจอแบน ชุดชา-กาแฟ-กาต้มน้ำ น้ำดื่ม ไดร์เป่าผม ตู้เซฟ ของใช้โรงแรม Hotel Amenity โซฟา โต๊ะยาวเอนกประสงค์ และโต๊ะทำงาน ในส่วนห้องน้ำมีการแบ่งโซนพื้นที่ได้ดีทั้งในโซนเปียก-โซนแห้ง น้ำไหลแรง ร้อนไว เย็นไว ระบายน้ำได้ดี มีเครื่องเป่าผม

ห้องอาหารเช้าของโรงแรม Holiday Inn Express Shantou City Center เป็นบุฟเฟ่ต์นานาชาติจัดเต็มมีสเตชั่นอาหารปรุงร้อน เกี๊ยว บะหมี่ เบเกอรี่ เครื่องดื่ม น้ำชา กาแฟ น้ำผลไม้ และยังมีแก้วกาแฟแบบ Take Away ถูกใจคนอยากจิบกาแฟในช่วงเร่งรีบตอนเช้า

โดยรวมแล้วโรงแรมในเครือ Holiday Inn Express ถือว่าคุ้มค่าน่าพัก ห้องใหม่ตกแต่งดี ขนาดห้องพักกว้าง อาหารเช้าอร่อยจัดเต็มในราคาสบายกระเป๋า ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีนะครับ สำหรับเครือโรงแรม Holiday Inn Express มีหลายสาขาในประเทศจีน เช่น ปักกิ่ง (Beijing), ซีอาน (Xian), เซี่ยงไฮ้ (Shanghai), เทียนจิน (Tianjin) ฯลฯ

จองที่พักออนไลน์

จองออนไลน์ผ่าน Booking.com คุณจะได้ดีลราคาพิเศษในทุกการจอง ได้สิทธิประโยชน์ในฐานะสมาชิก Booking.com

สนใจจองห้องพักที่ Holiday Inn Express Shantou City Center คลิกที่นี่